วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Merry Chirstmas


25 ธันวาคม วันคริสต์มาส


ตำนานวันคริสต์มาส





คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes
Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ.
1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติ
ของพระเยซูศาสดาแห่งศาสนาคริสต์โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือ
ประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส
แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบาย
ไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือ
เดือนอะไร
ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่
จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วน
ใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็
เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่
เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือน
ความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพ
ทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็น
ทางการและเปิดเผย เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูและเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามี
ต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการ
ทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่
กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Moi Même

Je suis sociable,curieuse de tout,volontaire,gaie et réfléchie.


Je n'aime pas les gens qui sont capricieux,égoïstes,inquites,agressif et hypocrites


Je suis gaie,timide et volontaire

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประวัติ Celine Dion

I Love Celine Dion very much !!!




เซลีน ดิออน เกิดวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2511 ที่ชาร์เลอมาญ เขตชานเมืองทางตะวันออกของเมืองมอนทรีออล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 14 คน ของ Adhémar Dion และ Thérèse Tanguay ซึ่งเป็นชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ครอบครัวนี้มีความผูกพันกับเสียงดนตรีเป็นอย่างมาก ดังเห็นได้จากการที่บิดาและมารดาตั้งชื่อเธอว่า "เซลีน"(ฝรั่งเศส: Celine)ตามบทเพลงชื่อ "เซลีน"อันเป็นผลงานการขับร้องโดย Hugues Aufray นักร้องชาวฝรั่งเศส เมื่อครั้งวัยเยาว์เซลีนร่วมร้องเพลงกับพี่น้องของเธอใน Le Vieux Baril บาร์เปียโนอันเป็นกิจการของครอบครัวเธอ และฝันที่จะเป็นนักร้อง โดยในปี พ.ศ. 2537 เซลีนให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร พีเพิล ว่า "ฉันคิดถึงครอบครัวและบ้านของฉัน แต่ฉันไม่เคยเสียใจที่ฉันเสียเวลาช่วงวัยรุ่นไป ฉันมีความฝันเดียว ฉันอยากเป็นนักร้อง"เมื่ออายุ 12 ปี แม่และพี่ชายของเธอประพันธ์เพลงให้แก่เซลีน ซึ่งเป็นเพลงแรกในชีวิตของเธอ ชื่อ "เซอเนเตเกิงแรฟว์" (ฝรั่งเศส: Ce n'était qu'un rêve, "มันเป็นเพียงแค่ฝัน") ไมเคิล พี่ชายของเธอได้ส่งเพลงนี้ให้แก่เรอเน อองเชลีลหลังจากเรอเนได้ฟังเพลงนี้แล้ว จึงตัดสินใจปั้นนักร้องคนใหม่ขึ้น เขาจำนองบ้านของเขาเพื่อเป็นทุนในการออกอัลบั้มแรกให้กับเซลีนในชื่อว่า ลาวัวดูบองดีเยอ (ฝรั่งเศส: La voix du bon Dieu) (มีการเล่นคำโดยอาจหมายถึง "เสียงของพระเจ้า" หรือ "วิถีทางแห่งพระเจ้า") ในปี พ.ศ. 2524 ซึ่งกลายเป็นเพลงอันดับ 1 ในท้องถิ่นในเวลานั้น ดนตรีของเธอได้รับความนิยมมากขึ้น เมื่อเธอเข้าร่วมการประกวดการขับร้องเพลงในเทศกาลการขับร้องสากล จัดโดยบริษัท ยามาฮ่า (อังกฤษ: Yamaha World Song Festival) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เธอได้รับรางวัล "ขวัญใจนักดนตรี" จากการลงคะแนนเสียงของคณะดนตรีในวันดังกล่าว (อังกฤษ: Coveted Musician's Award for Top Performer) และได้รับเหรียญทองรางวัล "เพลงยอดเยี่ยม" ในเพลง "แตลมองเชดามูร์ปูร์ตัว"(ฝรั่งเศส: Tellement j'ai d'amour pour toi,"ฉันมีรักมากมายเพื่อคุณ") ในปี พ.ศ. 2526 เซลีนเป็นนักร้องชาวแคนาดาคนแรกที่ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำของฝรั่งเศสในซิงเกิล "ดามูร์อูดามีตีเย" (ฝรั่งเศส: D'amour ou d'amitié,"รักหรือเพื่อน")เซลีนยังได้รับรางวัลเฟลิกซ์ในสาขา "นักร้องหญิงยอดเยี่ยม" (อังกฤษ: Best Female performer) และ "นักร้องหน้าใหม่แห่งปี" (อังกฤษ: Discovery of the Year)นอกจากนี้เซลีนยังประสบความสำเร็จมากขึ้นทั้งในยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย หลังจากเข้าร่วมประกวดร้องเพลงรายการยูโรวิชัน ในปี พ.ศ. 2531 โดยขับร้องเพลง "เนอปาร์เตปาซองมัว" ฝรั่งเศส: Ne partez pas sans moi,"อย่าไปโดยไม่มีฉัน")อย่างไรก็ตามเธอก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา เหตุผลส่วนหนึ่งคือ เธอร้องเพลงภาษาฝรั่งเศส จนกระทั่งเมื่อเธออายุ 18 ปี เธอเห็นการแสดงของไมเคิล แจ็กสัน เธอบอกกับเรอเนว่าเธออยากเป็นนักร้องดั่งไมเคิล แจ็กสัน เรอเนมั่นใจในความสามารถของเธอ จึงเริ่มเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเธอสู่ความเป็นสากลมากขึ้น อาทิ เข้ารับการผ่าตัดทางทันตกรรมเพื่อให้เธอดูดีขึ้น และเรียนภาษาอังกฤษกับ École Berlitz ในปี พ.ศ. 2532 ณ จุดนี้เองที่ได้ผันชีวิตของเธอสู่นักร้องระดับสากล

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

10 ภาพของฝรั่งเศส

10 ภาพที่คุณอาจไม่เคยเห็นจาก ฝรั่งเศส








10 ภาพที่ทำไปได้ ??

10 สุดยอดภาพ....หนึ่งเดียวในโลก !!














แหม !! ทำไปได้เนอะ ๕๕๕+

เด็กอายู 12 !!!






เด็กน้อยชาวอังกฤษ อายุแค่ 2 ขวบ แต่มีระดับไอคิวถึง 160 !! เรียกว่าเกินระดับปกติไปอยู่ขั้นอัจฉริยะแล้ว ซึ่งระดับไอคิวของน้องเค้าเทียบเท่ากับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และสตีเฟน ฮอว์กิงส์ นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโลกเลยทีเดียว

ซึ่งเด็กน้อยคนนี้มีชื่อว่า ออสการ์ ริงลีย์ อายุ 2 ปี ซึ่งพ่อของน้องเค้าเล่าให้ฟังว่า น้องออสการ์ทำคุณแม่ตะลึงโดยการเล่าเรื่องวัฏจักรการสืบพันธ์ของนกเพนกวินให้ฟัง (โอ้ ตอนนั้นพวกเรายังพูดได้แค่ เพงกวิ้ง เพงกวิ้ง) แถมยังเป็นเด็กที่ชอบซักถาม คุณแม่น้องเค้าก็ยังบอกว่า การใช้ภาษาของน้องก็น่ามหัศจรรย์เพราะน้องออสการ์สามารถสร้างประโยคซับซ้อนที่ฟังแล้วต้องคิดตีความ ซึ่งต่างจากภาษาพูดของเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีเพิ่มน้ำหนัก อย่างมีสุขภาพดี


วันนี้เราขอแนะเคล็ดลับวิธีเพิ่มน้ำหนัก สำหรับคนที่มีน้ำหนักน้อยให้อวบอิ่มสุขภาพดีมาฝาก
เริ่มจาก การแบ่งมื้ออาหารให้ถี่ขึ้น แทนที่จะกินอาหาร 3 มื้อหลัก ให้แบ่งเป็น 5 -6 มื้อต่อวัน
เลือกกินคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ ขนมปังโฮลวีต หรือคาร์โบไฮเดรตจากผัก ผลไม้ เช่น ข้าวโพด เผือก และมันอบ
เน้นรับประทานโปรตีนจากเนื้อปลา โดยเฉพาะปลานึ่ง
ดื่มน้ำผลไม้ เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจนเกินไป วิธีนี้ช่วยเพิ่มแคลอรี่อีกทางหนึ่ง
ออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก เพราะจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ
เพียงเท่านี้น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้นแบบไม่เสียสุขภาพแน่นอน.

แพ้ไข่

ใครจะไปคิดว่าอาหารที่กินง่าย ๆ อย่างไข่ จะทำให้เกิดอาการแพ้ได้
แถมวัคซีนที่ใช้ไข่ในกระบวนการผลิต อย่าง วัคซีนหวัด 2009 ชนิดเชื้อเป็น ที่ประเทศไทยกำลังผลิตอยู่ คนแพ้ไข่ก็เสียโอกาสไปด้วย อยากรู้ว่า แพ้ไข่ อาการเป็นอย่างไร นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่า ในเด็กก่อนขวบปีแรกที่แพ้อาหาร เช่น ไข่ขาว นมวัว ถั่วลิสง กลุ่มนี้จะพบได้ประมาณ 5-7% การแพ้ไข่ เป็นการแพ้โปรตีนในไข่ขาว คือ อัลบูมิน โดยสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ คือ โอโวมิวคอยด์ เป็นโปรตีนตัวหนึ่ง ซึ่งทนความร้อนได้ดีมาก แม้ต้มไข่แล้วโปรตีนตัวนี้ก็ยังคงอยู่ เด็กอายุยังไม่ถึง 8 เดือน จึงไม่อยากให้กินไข่ขาว ถ้าสงสัยว่าแพ้ให้หลีกเลี่ยงไข่ขาวไว้ก่อน อาการแพ้ไข่ขาว จะมี 2 อย่าง คือ อาการเฉพาะที่ และอาการ โดยรวมทั่วร่างกายอาการเฉพาะที่ ได้แก่ ปากบวมแดง คันในกระพุ้งปาก เยื่อบุอ่อน ๆ ในปาก หรือบางคนปากบวมเหมือนครุฑเลย อาการโดยรวม จะมีได้ตั้งแต่เป็นผื่นลมพิษ บางทีแน่นหน้าอก หลอดลมตีบ หายใจวี้ด ๆ เหมือนเป็นหอบ คนไข้ที่แพ้ไข่ ส่วนใหญ่จะเจอในเด็กทารกไปจนถึงอายุ 6 ขวบ หรือไปจนถึงอายุก่อนเข้าวัยรุ่น แต่พอโตขึ้นไปแล้วร่างกายเหมือน ได้ภูมิต้านทานมาเรื่อย ๆ โดยคนที่แพ้ไข่ขาว นั้น มักจะแพ้ถั่วลิสง แพ้กลูเต็น หรือสารในข้าวสาลีด้วย พอกินอาหารเหล่านี้มาเรื่อย ๆ โตขึ้นจะทำให้มีภูมิต้านทานและไม่แพ้ไข่ขาวอีก ดังนั้นคนที่แพ้ไข่ขาวจะไม่แพ้ตลอดชีวิต ในเด็กที่แพ้ไข่ขาวบางคนจะมีผื่นคล้าย ๆ กลากน้ำนมที่บริเวณแก้มทั้ง 2 ข้าง หรือเป็นสีแดง ๆ ซึ่งอาจเป็นผื่นแพ้ที่เกิดจากการแพ้ไข่ขาวหรือนม ก็ได้ ดังนั้นต้องสังเกตให้ดี และหากมีอาการดังกล่าวควรหลีกเลี่ยงไข่ขาว รวมไปถึง ถั่วลิสง และข้าว สาลี เคล็ดลับง่าย ๆ คือ ในเด็กทารกแรกเกิดไปจนถึงอายุประมาณ 8 เดือนควรเลี่ยงอาหารจำพวกไข่ขาว ถั่วลิสง อาหารจากข้าวสาลี เพราะถ้าเกิดอาการแพ้ครั้งแรกปากบวม ปากเจ่อ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนแล้ว หากแพ้ครั้งที่ 2 จะทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้ นอกจากนี้ ในเด็กที่แพ้ไข่ขาวต้องระวังเรื่องวัคซีน เพราะมีวัคซีนบางชนิดที่มีไข่ขาวเป็นส่วนประกอบ จะห้ามฉีดพ่นในคนที่แพ้ไข่ขาวด้วย ท้ายนี้อยากฝากว่า เมื่อใดก็ตามที่เป็นผื่นผิวหนัง แพ้ง่าย มีอาการเหมือนภูมิแพ้ไม่หายสักที ไปหาหมอก็ไม่หาย อาจจะงดไข่ขาว ถั่วลิสง หรือข้าวสาลี บางทีผื่นอาจหายไปเอง ได้ เพราะบางทีอาจแพ้โปรตีนเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว.

การบริหารสะโพกและต้นขา

ใครที่กำลังอยากลดสะโพกและต้นขาให้เล็กลง วันนี้เรามีการบริหารสะโพกและต้นขามาฝาก
... การบริหารสะโพกและต้นขาให้ได้ผลดี ควรจะควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กันด้วย ท่าที่ 1วางฝ่ามือทั้งสองลงบนผนังหรือเก้าอี้ข้างหน้า ยกขาขวาขึ้นและเอียงเท้าไปด้านขวา เตะขาตรง ๆไปด้านหลัง ยืดเข่าให้ตรง ลำตัวตรง จากนั้นเตะขามาข้างหน้า ทำสลับกันทั้งสองข้าง ท่าที่ 2 ยืนแยกขากว้างกว่าไหล่เล็กน้อย กางแขนออกจากนั้นย่อเข่าหลังตรง ให้หัวเข่าเลยปลายเท้าออกไป แต่อย่าย่อเข่าต่ำกว่าสะโพก แล้วยืดตัวขึ้น เกร็งกล้ามเนื้อบั้นท้ายเมื่อยืดตัวขึ้น และเขย่งเท้าขึ้นด้วย ท่าที่ 3 คุกเข่ามือวางบนพื้น ยืดขาออกไปข้างหลัง ยกขาขึ้นตรง ๆ แต่อย่ายกสูงกว่าหลัง หยุดค้างไว้แล้วลดขาลงที่พื้น ทำสลับกัน ท่าที่ 4ยืนตรงกางขาออกเล็กน้อย ย่อตัวลง ตั้งลำตัวให้ตรงเหมือนเดิม จากนั้นยืดตัวขึ้นแล้วกางแขนออกไปด้านข้างให้ขนานกับพื้นเพื่อช่วยพยุงตัว จากนั้นย่อเข่าลงให้หัวเข่าเลยปลายเท้า งอหลังเล็กน้อย แต่อย่าให้สะโพกต่ำกว่าระดับหัวเข่า ทำซ้ำ ๆ กัน 6 ครั้ง แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ถ้าอยากมีสะโพกและต้นขาที่สวย อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปบริหารกันดูได้.

บาดแผลเรื้อรัง..เรื่องเรื้อรังที่ควรแก้ไข

ในสังคมปัจจุบันมีผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้น ดังนั้นจึงพบโรคที่มากับผู้สูงอายุมากขึ้น
รศ.นพ.อภิรักษ์ ช่วงสุวนิช ศัลยแพทย์ตกแต่ง
เช่น ความดันสูง เบาหวาน อัมพาต โรคหลอดเลือดแดงตีบตัน ซึ่งบาดแผลเรื้อรังก็เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเหล่านี้ที่พบได้บ่อย
บาดแผลเรื้อรัง คืออะไร? เรามักหมายถึงบาดแผลที่เกิดขึ้นแล้วหายช้ากว่าปกติ โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 8 อาทิตย์ ลักษณะของบาดแผลอาจจะมีได้หลายแบบ คือ
บาดแผลเรื้อรังชนิดที่ขาดการรับรู้ความรู้สึกที่ผิวหนัง จะมีขอบแผลแข็ง ก้นแผลเป็นเนื้อแดงซีด
บาดแผลเรื้อรังที่เกิดจากความดันในหลอดเลือดดำสูง บาดแผลกลุ่มนี้จะมีลักษณะขอบแผลไม่นูน แข็ง ก้นแผลเป็นสีแดงซีด ผิวหนังรอบแผลมีลักษณะสีดำคล้ำ
บาดแผลเรื้อรังที่เกิดจากการขาดเลือด มักจะพบบริเวณปลายมือ เท้า ผิวหนังที่คลุมแผลจะแห้งดำ ถ้าผิวหนังนี้ไขหลุดลอกมาจะมีลักษณะก้นแผลสีซีด ซึ่งอาจจะเป็นไขมันที่แห้งซีด
บาดแผลเรื้อรังที่มีสาเหตุจากมะเร็ง ลักษณะบาดแผลมักมีขอบนูนขึ้นร่วมกับมีเนื้องอกเกินขอบเขต ของผิวหนังที่อยู่รอบ
บาดแผลเรื้อรังที่เกิดจากการติดเชื้อเรื้อรังอื่นๆ เช่น วัณโรค เชื้อรา ติดเชื้อที่กระดูก การมีสิ่ง แปลกปลอมค้างอยู่
คนไหนที่มีบาดแผลเรื้อรังเป็นมานานแล้วไม่หาย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและพิจารณาหา แนวทางการรักษา แนวทางที่แพทย์จะใช้รักษาบาดแผลชนิดนี้ แบ่งเป็น 2 ทางใหญ่ๆ คือ
1. รักษาสาเหตุ คือ หาสาเหตุของการเกิด เช่น เป็นเบาหวาน ขาดเลือด หรือติดเชื้อ 2. รักษาบาดแผล คือ ลดการติดเชื้อ และสร้างภาวะที่กระตุ้นให้บาดแผลหายดี

การค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลเรื้อรังนี้เป็นเรื่องจำเป็นครับ เพราะถ้ามุ่งแต่จะรักษาบาดแผลอย่างเดียวโดยที่ไม่ตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง ในที่สุดแล้วบาดแผลนั้นอาจจะลุกลามและทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายมากขึ้น จนถึงขั้นอาจเป็นเหตุให้สูญเสียอวัยวะบริเวณนั้นได้ก่อนเวลาอันควร ดังนั้น ไม่ควรละเลย เพิกเฉยบาดแผลเรื้อรังที่เกิดขึ้น ไม่ว่าบริเวณใดในร่างกายเลยนะครับ

แพ้สีทาเล็บ


การแพ้ยาทาเล็บในบางรายอาจพบรอยผื่นแดงในบริเวณรอบเล็บ
ปัจจุบันสาว ๆหลายคนนิยมทำเล็บ ตกแต่งเล็บ ต่อเล็บ หรือเพนท์เล็บ ให้มีสีสันสวยงาม ซึ่งส่วนใหญ่ทำแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็มีบางคนที่ทำเล็บแล้วอาจมีผลข้างเคียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นตามมาได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า เล็บ คือ สารเคอราติน อัดเป็นแผ่นเรียบคลุมปลายนิ้ว มีพื้นที่แต่ละเล็บประมาณ 1-1.5 ตารางเซนติเมตร แผ่นเล็บจะโปร่งแสงจึงมองเห็นเม็ดเลือดแดงเป็นสีชมพูใต้เล็บ ในภาวะวิกฤติแพทย์ใช้สีเล็บประเมินระบบไหลเวียนของโลหิต จึงแนะนำให้ผู้ป่วยล้างยาทาเล็บออกเมื่อรับไว้เป็นผู้ป่วยภายใน ปัจจุบันธุรกิจความงามบนแผ่นเล็บของสหรัฐมีมูลค่าสูงถึงปีละ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ประเทศไทยก็กำลังเข้าสู่กระแสตามผู้นำของโลกเช่นกัน จึงพบศูนย์บริการแต่งเล็บเกิดขึ้นหลายแห่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่เดิมการตกแต่งเล็บจะใช้ยาทาเล็บแต่งสี จากเคยนิยมสีชมพูเลียนแบบสีธรรมชาติเพื่อแสดงว่าสุขภาพสมบูรณ์ ปัจจุบันสียาทาเล็บเปลี่ยนเป็นสีเข้มคล้ายสีเล็บของผู้เจ็บป่วยใกล้ตาย เช่น สีฟ้า สีม่วง การตัดแต่งเล็บก็เปลี่ยนไปตามกระแสนิยม ปลายเล็บรูปรีแหลมก็เปลี่ยนเป็น ตัดตรงเหลี่ยม การตัดหนังรอบเล็บเพื่อให้ผิวเล็บเพิ่มมากขึ้น ในระยะโรคเอดส์เริ่มระบาดหลายคนเลิกทำเล็บเพราะเกรงว่าเครื่องมือไม่สะอาดพอ แต่ความกลัวได้จางหายไป การตกแต่งเล็บจึงกลับมานิยม อีกครั้ง ขั้นตอนการทาเล็บจะต้องทำความสะอาดเล็บด้วยสารอะซีโตน ซึ่งสารนี้เมื่อใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้เล็บขาดความเงางาม เนื้อเล็บจะขุ่นและเปราะบางหลังทำความสะอาดจึงใช้น้ำยาทาเล็บทาทับหลายชั้นเพื่อให้ผิวเล็บเรียบ ยาทาเล็บประกอบด้วยสารหลายชนิดที่สำคัญ คือ ไนโตรเซลลูโลส โทลูอีน ซัลโฟนามายด์ ฟอร์มาลดีไฮด์ เรซิน หรือ ทีเอสเอฟ อาร์ (toluene sulfonamide-formaldehyde resin : TSFR) และพลาสติไซเซอร์ ซึ่งเมื่อแห้งจะเป็นแผ่นฟิล์มใสวาวเรียบเคลือบเล็บ สีที่ผสมในยาทาเล็บจะต้องใช้ชนิดไม่ละลายเข้าในเนื้อเล็บ ในยาทาเล็บมักมีสารฟอร์มาลิน เจืออยู่ เพื่อเพิ่มความแข็งของเล็บ สารเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ได้ สำหรับยาทาเล็บแบบสีมุก จะผสมด้วยผงกวานีน ซึ่งได้จากเกล็ดปลา อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ในบางราย แต่ส่วนใหญ่การแพ้ยาทาเล็บจะไม่มีผื่นบริเวณรอบเล็บเพราะในขณะทาเล็บผู้ทาต้องระมัดระวังไม่ให้ยาทาเล็บโดนผิวหนัง ดังนั้นรอยผื่นแพ้ยาทาเล็บมีลักษณะรอยแดงเป็นทางยาวพบในบริเวณใบหน้า หนังตา แก้ม รอบปาก ด้านข้างของคอ หรือบริเวณหน้าอก เพราะในขณะรอให้ยาทาเล็บแห้งเจ้าของมืออาจขยับทำกิจกรรมต่าง ๆ น้ำยาทาเล็บที่ยังไม่แห้งสนิทจึงสัมผัสผิวหนังในบริเวณดังกล่าว ยาทาเล็บเมื่อแห้งสนิทจะไม่ทำให้เกิดการแพ้ สารที่แพ้คือสารเคลือบเล็บการตกแต่งเล็บกำลังพัฒนาเป็นการสร้างประติมากรรมขนาดย่อม มีการใช้แผ่นเล็บสังเคราะห์มาเชื่อมแปะทับเพื่อเพิ่มพื้นที่และมีการใช้ผงอะคริลิกผสมน้ำยาทาทับบนแผ่นเล็บให้หนาขึ้นพอที่จะแกะสลักลวดลายให้พิสดาร ประดับด้วย ทอง เพชร พลอย การตกแต่งเล็บมักนิยมขูดแผ่นเล็บจริงให้เรียบ จำเป็นต้องใช้กาวพิเศษกลุ่มอะคริลิกโพลิเมอร์เพื่อให้การยึดสิ่งซึ่งจะมาประดับแน่นหนาเพิ่มขึ้น วัสดุซึ่งปิดทับเล็บจะขัดขวางการระเหยของน้ำของแผ่นเล็บ ทำให้แผ่นเล็บนิ่มและน้ำที่ขังในแผ่นเล็บยังละลายกาวให้ดูดซึมเข้าใต้แผ่นเล็บได้ กาวจะทำลายเนื้อเล็บแบบถาวรได้ ซึ่งหมอเจอคนไข้รายหนึ่งมาพบด้วยสาเหตุนี้ จนเล็บหลุดไป อย่างไรก็ตามมีความพยายามที่จะเปลี่ยนชนิดของกาวที่ใช้ให้ปลอดภัยขึ้น แต่ก็มีรายงานการแพ้แบบรุนแรงอยู่เช่นเดิมในคนไข้บางคน ท้ายนี้คงต้องบอกว่า การดูแลเล็บแบบถูกต้องก็คงเพียงแค่ตัดเล็บให้สั้น เพื่อสะดวกในการทำความสะอาด อาจใช้แปรงนุ่ม ๆ ขัดผิวเล็บที่สกปรก ไม่ควรตัดหรือขัดถูผิวหนังรอบเล็บเพราะจะกระตุ้นให้หนังหนาแข็งได้ แผ่นเล็บอาจแสดงถึงสุขภาพทั่วไปซึ่งจะเสื่อมไปตามวัย แผ่นเล็บอาจขุ่น ผิวเล็บอาจขรุขระก็ต้องทำใจรับธรรมชาติ ส่วนการตกแต่งเล็บก็ควรทำแค่พองาม เพราะถ้าเกินงามอาจสูญเสียเล็บแบบถาวรได้.

ฟอกสีฟันดีมั้ย!!??

มันมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า ก่อนทำต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง
มีคนรอบข้าง ถามว่า ฟันมีสีคล้ำ จะไปฟอกสีฟันดีมั้ย แล้ว ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน X-RAY สุขภาพ จึงมาพูดคุยกับ ทันตแพทย์หญิงชนิดา ธรรมสุนทร สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข ทันตแพทย์หญิงชนิดา อธิบายว่า การฟอกสีฟัน เพื่อทำให้ฟันขาวขึ้น มีความปลอดภัย แต่ควรทำภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ ดังนั้นคนที่ต้องการฟอกสีฟัน อันดับแรกเลย ควรไปพบทันตแพทย์ เพื่อวินิจฉัยว่า ฟันสีคล้ำมีสาเหตุจากอะไร เช่น ฟันผุ เป็นรู มีคราบสีหรือ หินปูน หรือฟันตาย ซึ่งทันต แพทย์จะแก้ไขให้ตามสาเหตุ เช่น ฟันผุ แก้ไขปัญหาด้วยการอุดฟัน หากมีคราบสีหรือหินปูน จะแก้ไขด้วยการขัดฟันหรือขูดหินปูน หากเป็นฟันตายก็ควรได้รับการรักษารากฟันก่อนการฟอกสีฟันหรือบูรณะฟันด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อไป หากไม่ได้มาจากสาเหตุข้างต้น และทันตแพทย์พิจารณาว่า สามารถฟอกสีฟันได้ ทันตแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับคนไข้ ซึ่งผลของการฟอกสีฟัน ความขาวของฟันจะไม่คงทนถาวร เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 ปี สีฟันจะค่อย ๆ คล้ำลงเล็กน้อย อาจต้องมาทำซ้ำเป็นระยะ การฟอกสีฟันที่ได้รับการยอมรับว่าได้ผลและมีความปลอดภัยสูง ได้แก่ การฟอกสีฟันที่คนไข้สามารถทำด้วยตัวเองที่บ้าน โดยใช้สารฟอกสีฟันที่ความเข้มข้นต่ำ ๆ ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ วิธีการ คือ ก่อนที่จะทำการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะให้ข้อมูลรอบด้านแก่คนไข้ และตรวจดูให้แน่ชัดว่า ฟันทุกซี่ไม่ผุ ไม่มีอาการเสียวฟันเนื่องจากภาวะเหงือกร่น คนไข้ ได้รับการขูดหินปูนหรือขัดคราบสีที่ปกคลุม ฟันออกเรียบร้อยแล้ว ส่วนฟันที่มีอาการอุด วัสดุอุดจะต้องไม่มีการรั่วซึม จากนั้นทันตแพทย์ก็จะพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟันและนำมาทำถาดฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะบันทึกสีของฟัน ก่อนเริ่มให้การรักษา จะนัดคนไข้มาลองถาดฟอกสีฟัน แนะนำวิธีใส่สารฟอกสีฟัน โดยส่วนใหญ่สารที่ใช้ฟอกสีฟันได้แก่ คาร์ บาไมด์เปอร์ออกไซด์ที่มีความเข้มข้น 10% โดยคนไข้จะใส่ถาดฟอก สีฟันวันละประมาณ 4 ชั่วโมง หรือจะใส่ตลอดทั้งคืนเวลานอนก็ได้ โดยระหว่างใส่ถาดฟอกสีฟัน ห้ามรับประทาน อาหารทุกชนิด สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฟอกสีฟัน คือ อาการเสียวฟัน การ ระคายเคืองเนื้อเยื่ออ่อน เช่น เหงือก ดังนั้นระหว่างการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะนัดมาติดตามผลเป็นระยะ เพื่อดูผลของการฟอกสีฟันและแก้ไขอาการข้างเคียง ภายหลังเสร็จสิ้นการฟอกสีฟัน คนไข้ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภท ชา กาแฟ ไวน์ ซึ่งอาจทำให้มีคราบสีมาติดภายนอกฟันและทำให้ฟันดูคล้ำลงได้ ทั้งนี้ไม่แนะนำให้คนไข้ฟอกสีฟัน โดยซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีขายตามเคาน์เตอร์ในท้องตลาดมาทำเอง โดยไม่ได้ปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ เพราะ 1.ปัญหาฟันสีคล้ำที่คนไข้มี อาจไม่ได้รับการแก้ไขให้ตรงจุด และเสียเงินโดยไม่จำเป็น 2.การฟอกสีฟันเอง มีโอกาสที่สารฟอกสีฟันจะไประคายเคืองเหงือก หรือเนื้อเยื่อภายในช่องปากได้มากกว่าวิธีที่ทำภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ 3.อาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการเสียวฟัน.

10 ท่ากระชับสัดส่วนสวย


หากไม่ยืดเส้น ยืดสาย ขยับแขนขากันบ้าง ระวังสัดส่วนจะไม่กระชับดั่งใจ
สาว ๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ และอาจจะต้องทนเมื่อยล้ากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ลองหันมาออกกำลังกายในท่าง่าย ๆ ทำได้ที่บ้านทั้ง 10 ท่า ต่อไปนี้... 1.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง 2.บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย 3.บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา 4.บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน 5.บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง 6.บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ 7.บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง 8.บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา 9.บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา 10.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ...วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู.

สาว 6 อาชีพกับเส้นเลือดขอด

หนึ่งในปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงกลุ้มใจ แถมยังมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย 3 เท่าเลยทีเดียว!
เส้นเลือดขอด (Varicose Veins) หรือ Spider Vein เป็น เส้นเลือดขอดมักเกิดตามผิวของขาตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านใน พบบ่อยบริเวณน่อง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่ต้องยืนนานๆ เกิดเมื่อถึงวัยชรา เกิดจากกรรมพันธุ์ มีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขา อักเสบอุดตัน หรือบางคนโชคไม่ดีอาจมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรืออุ้งเชิงกรานไปกดหลอดเลือดดำ เป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด ดูเหมือนเส้นเลือดโป่งพองเห็นเป็นสีคล้ำเขียว-แดง และมีความยาวคดเคี้ยวขยุกขยิก เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขา ที่ปกติจะถูกบีบให้ไหลขึ้นสู่หัวใจโดยอาศัยแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณขา ภายในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเล็กๆ อยู่ภายในๆ คอยกั้นเป็นช่วงๆ ไม่ให้เลือดย้อนกลับไปที่เท้า แต่เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดทำงานไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดของขาขยายตัวกว้างขึ้นพลอยดึงให้ลิ้นถ่างออก เมื่อลิ้นไม่อาจปิดได้สนิทเลือดก็ทะลักไหลย้อนลงมาคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำของขาบริเวณใกล้ผิวหนัง โดยอาการของเส้นเลือดขอดมีตั้งแต่เป็นน้อยๆ ไปจนเรียกว่าระยะรุนแรง คือผิวหนังบริเวณที่มีเส้นเลือดขอดแตกเป็นแผลอักเสบเรื้อรังมีน้ำเหลือง รักษาหายยาก และอาจมีเลือดออกรุนแรง และหากจะพิจารณาถึงอาชีพของผู้หญิงที่เสี่ยงเกิดเส้นเลือดขอดก็มักเป็นคุณครู นางพยาบาล แอร์โฮสเตส พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทางและสาวออฟฟิศ ซึ่งด้วยหน้าที่การงานมีรายละเอียดทำให้เข้าข่ายเสี่ยงดังนี้
คุณครู หรือที่เราเปรียบเทียบว่าเป็น เรือจ้าง เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทักษะทางด้านสมอง กายและใจไปพร้อมๆ กัน นั่นคือการพูด-การเขียนอธิบายและถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ต้องยืนสอนหน้าชั้นเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมง ซึ่งอาชีพครูบ้านเราต้องใส่ชุดฟอร์มที่ทางโรงเรียนจัดให้ หรือไม่ก็ต้องแต่งกายเรียบร้อย ใส่ถุงน่องและรองเท้าส้นสูง อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ง่าย
นางพยาบาล เป็นวิชาชีพที่ต้องใช้ทักษะการบริการทางการแพทย์ไปพร้อมๆ กับใจที่รักการบริการ ความรับผิดชอบของนางพยาบาลบ้านเรานั้นมีตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยแพทย์ระหว่างการตรวจรักษา การเดินดูแลพยาบาคนป่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย งานเดินเอกสาร ฯลฯ ดังนั้นอาชีพนี้จึงต้องอาศัยความอดทนและคล่องตัวสูง ทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักตัวตลอดวัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่านางพยาบาลหลายคนใส่ผ้ายืดหรือ support รัดน่องเพื่อป้องกันไว้ก่อน
แอร์โฮสเตส เป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากจากสาวๆ ในปัจจุบัน เพราะแรงจูงใจในเรื่องของค่าตอบแทนและโอกาสท่องเที่ยว แต่อาชีพนางฟ้าก็ต้องแลกกับการยืนและเดินนานๆ เพื่อดูแลผู้โดยสารตลอดชั่วโมงบิน และที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภาวะความดันทางอากาศจากการขึ้น-ลงเครื่องบินเป็นประจำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนรองเท้าส้นเตี้ยขณะบริการเสิร์ฟอาหารแก่ผู้โดยสาร หมั่นเดินไปมาเพื่อเพิ่มระบบหมุนเวียนโลหิต และควรใส่ถุงน่องที่รัดและกระชับใต้เข่า
พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า / พนักงานต้อนรับ การยืนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาชีพนี้ก็ว่าได้ เนื่องจากการยืนหมายถึง ความพร้อมและความเต็มใจของพนักงานที่จะให้บริการ เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า โดยเฉลี่ยแล้วอาจจะต้องยืนติดต่อกันประมาณ 6-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว!
พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง นอกจากจะต้องสูดดมควันจากท่อไอเสีย และอยู่ในสภาพที่มีคนแออัดตลอดเวลา ก็ยังต้องเดินและยืนเก็บค่าโดยสารตลอดสายครั้งละหลายชั่วโมง แถมยังต้องทรงตัวให้ดีเมื่อยามรถจอดหรือเบรกอีกต่างหาก
สาวออฟฟิศ ฟังดูแล้วเป็นอาชีพที่เสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดน้อยที่สุด แต่คุณทราบหรือไม่ว่า การที่นั่งโต๊ะนานๆ ด้วยการนั่งไขว่ห้างนี้เอง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด หรือสาวออฟฟิศบางคนชะล่าใจคิดว่าตนเองไม่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ ก็ใส่ร้องเท้าส้นสูงรับกับกระแสแฟชั่น แต่กลับลืมไปว่าบางครั้งก็ต้องเดินไปมาเพื่อติดต่อเอกสารหรือฝ่ายต่างๆ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดแบบไม่รู้ตัวก็มี
ทั้งนี้หากว่าคุณมีเส้นเลือดขอดก็อย่าเพิ่งตระหนก เพราะหากคุณไม่มีอาการปวดหรือบวมร่วมก็อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและออกกำลังกายอย่างเหมาะสมก็ป้องกันและบรรเทาได้ หรือสำหรับคนที่มีอาการปวดก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นมากจนรักษาไม่ได้ เพราะปัจจุบันเรามีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดและผ่าตัดที่เหมาะต่ออาการของแต่ละคน
วิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด
ถ้าคุณเป็นคนอ้วนควรลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดน้ำหนักลงที่เท้าและขา
หลีกเลี่ยงการยืน หรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว่ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด ในกรณีที่อาชีพการงานบังคับต้องอาศัยการออกกำลังกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อน่องและขา โดยการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง และพอถึงช่วงที่ได้นั่งพัก ให้ถอดรองเท้าส้นสูงออก นั่งลงบนเก้าอี้ หลังตรงและยกขาขึ้นหนึ่งข้างให้สูงระดับสะโพกและหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลง จากนั้นทำสลับอีกข้าง
หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า ซึ่งทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดไหลไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่องรัดห่างใต้เข่าประมาณ 2 นิ้ว
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
ส่วนใหญ่แพทย์แนะนำเพื่อบรรเทาอาการปวด บวมมากกว่าเรื่องของความสวยงาม ซึ่งในกรณีที่เป็นเส้นเลือดขอดไม่มาก สามารถใช้ครีมนวดรักษาหรือบรรเทาได้ แต่กรณีที่มีอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำที่ขอด เพื่อสลายหลอดเลือดที่แข็งตัวและตีบตันให้ไหลเวียนไปสู่หลอดเลือดอื่นบริเวณรอบๆ ได้ แต่ก็ไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาดภายในครั้งเดียวอาจต้องฉีดซ้ำหลายครั้งหากเป็นมาก และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยหลังการรักษาจำเป็นต้องสวมผ้ารัดหรือถุงน่องเพื่อบีบให้ผนังหลอดเลือดกระชับ จนกว่าบริเวณที่ฉีดยาจะบวมน้อยลง และเวลานอนพักต้องใช้หมอนหนุนยกระดับเข่าให้สูงกว่าสะโพก และปลายเท้าสูงกว่าระดับเข่า การรักษาแบบผ่าตัด
เป็นการผ่าตัดในกรณีที่เส้นเลือดขอดเกิดภาวะอุดตันภายในหลอดเลือด และอาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยแพทย์จะให้ยาชาก่อนการผ่าตัดและใช้เครื่องมือเข้าไปผูกเส้นเลือดที่ขอดแล้วดึงหลอดเลือดดำที่ขอดออกเป็นบางส่วน หรือการผ่าดึงหลอดเลือดดำที่ขอดทั้งเส้น โดยหลังการผ่าตัดจะมีอาการเท้าบวม มีเลือดออกหรือเจ็บแผล และจำเป็นต้องใส่ผ้ารัดหรือถุงน่องพยุงต่อประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์
การรักษาเส้นเลือดขอดไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่เกิดเส้นเลือดขอดใหม่ 100% และแพทย์อาจให้การรักษามากกว่า 1 วิธีร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาให้ได้ผลดีมากที่สุด และที่สำคัญบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอดมีอาการปวดหรือบวม คุณควรไปปรึกษาแพทย์ทันที

ไปหาหมอ”... จะเริ่มที่ไหนดี?

คำแนะนำสำหรับผู้สูงอายุหรือแม้แต่คนทั่วไปที่ต้องการปรึกษาแพทย์เรื่องการดูแลสุขภาพให้ดีแต่เนิ่นๆ
คุณผู้อ่านที่ติดตาม HealthToday หรือบทความเกี่ยวกับสุขภาพต่างๆ อย่างต่อเนื่องคงคุ้นเคยกับประโยคเด็ดที่ว่า ถ้ามีปัญหาสุขภาพ ควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำ ฟังดูเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนเวลาที่เราปวดหัวตัวร้อนก็ต้องออกจากบ้านไปหาคุณหมอเพื่อขอยามารับประทาน แต่สำหรับหลายๆ ท่านโดยเฉพาะเมื่อก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุที่อวัยวะต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย การใช้งานแขนขามือเท้าเริ่มไม่คล่องตัวเหมือนอย่างที่เคยเป็น หรือเริ่มมีอาการเวียนงงก๊งหมุนบ่อยครั้งเข้า บางครั้งก็ปวดเมื่อยเนื้อตัว เป็นหลายอาการที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน แถมเรื้อรังไม่หายง่ายๆ คราวนี้การจะไปปรึกษาคุณหมอเริ่มจะมีประเด็นซับซ้อนขึ้น จนเกิดมีคำถามในใจว่า เราควรจะปรึกษาใคร แล้วควรจะเริ่มต้นที่ไหนจึงจะดี? เคยได้ยินว่าบางคนขบคิดปัญหานี้แล้วตอบตัวเองไม่ได้จึงอยู่เฉยๆ ไม่ไปปรึกษาแพทย์คนไหนสักคนเสียเลย จนในที่สุดอาการเจ็บป่วยบานปลายสายเกินไปที่จะรักษาให้หาย แบบนี้ก็มี HealthToday ฉบับนี้เราจึงมี ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย หรือคนที่มีปัญหาสุขภาพแล้วต้องการการตรวจวินิจฉัยเฉพาะทาง หรือต้องการเปลี่ยนแพทย์จากคนที่เคยรักษาเป็นแพทย์ท่านอื่น ควรจะเริ่มต้นที่ไหน อย่างไร ลองพิจารณาว่าวิธีแบบไหนเหมาะกับคุณบ้างค่ะ
สำหรับครอบครัวที่มีลูกหลาน ญาติ หรือเพื่อนเป็นแพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ อาจเริ่มจากการพูดคุยสอบถามท่านเหล่านั้นเพื่อขอให้แนะนำถึงการดูแลรักษาอาการ หรือให้แนะนำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับอาการที่เป็น แล้วขอนัดไปปรึกษาอาการ
หากคุณไม่รู้จักใครมาก่อน ง่ายที่สุดก็คือเริ่มจากคลินิกรักษาโรคทั่วไปหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน หากแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าคุณจำเป็นต้องได้รับการตรวจรักษาที่ละเอียดขึ้นเฉพาะโรคที่นอกเหนือจากความสามารถของแพทย์ในที่นั้น ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำคุณให้ติดต่อแพทย์เฉพาะทางที่เขาเชื่อใจ หรือแม้กระทั่งการสอบถามจากพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ต่างๆ เพื่อให้ช่วยแนะนำแพทย์ที่รู้จักให้ก็เป็นอีกแหล่งข้อมูลที่ดี โดยคุณสามารถขอประวัติการรักษาจากสถานพยาบาลที่เก่าเพื่อไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยในที่ใหม่ได้
แหล่งข้อมูลจากนิตยสารสุขภาพ หนังสือ กระดานข่าวเกี่ยวกับสุขภาพบนเว็บไซต์ เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยแพทย์ ฯลฯ เป็นอีกแหล่งข้อมูลที่รวบรวมรายชื่อแพทย์เฉพาะทาง คลินิก หรือโรงพยาบาลที่สังกัดอยู่ ซึ่งคุณจะเข้าไปค้นหาได้ไม่ยาก
หากคุณไม่ได้มีอาการอะไรผิดปกติ แต่ต้องการตรวจเช็คสุขภาพ อาจเริ่มจากขอรับบริการตรวจสุขภาพประจำปีตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่มักจะจัดไว้เป็นแพ็คเกจเหมาะสำหรับแต่ละเพศ วัย และราคาที่คุณรับได้ ซึ่งจะได้รับการตรวจวัดค่าที่จำเป็นต่างๆ เช่น น้ำหนักตัว ความดันเลือด ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ระดับโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ระดับของกรดยูริค ตรวจการทำงานของหัวใจ รวมทั้งการตรวจหาความผิดปกติในช่องท้องโดยใช้อัลตราซาวนด์ ฯลฯ โดยปกติแพทย์ผู้ตรวจรักษาจะให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพต่างๆ ที่เหมาะสมกับคุณได้
บางโรงพยาบาลมีคลินิกผู้สูงอายุจัดตั้งไว้โดยเฉพาะเพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้สูงอายุ คุณอาจเข้าไปขอรับบริการตรวจสุขภาพ และปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้น แพทย์ผู้ตรวจจะช่วยวินิจฉัยให้ได้
และเมื่อคุณได้พบกับแพทย์ตามคำแนะนำแล้ว คุณอาจต้องประเมินดูว่าแพทย์ท่านนั้นสามารถสื่อสารกับคุณได้ดีแค่ไหน เพราะการพูดคุยสื่อสารกับแพทย์เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย อย่างน้อยๆ เขาต้องรับฟังในสิ่งที่คุณบอกเล่าเกี่ยวกับอาการ และเมื่อเขาอธิบายกลับมาต้องเป็นภาษาที่คุณฟังแล้วเข้าใจ สามารถซักถามได้เมื่อสงสัย
เมื่อแพทย์นัด ก็ควรไปหาตามกำหนดนัด
สำหรับคนที่มีประกันสุขภาพไม่ว่าแบบใดๆ ควรตรวจสอบกับต้นสังกัดที่มีประกันว่าครอบคลุมบริการสุขภาพในแบบใดบ้าง จดเป็นบันทึกช่วยจำไว้ แล้วเลือกไปใช้บริการกับสถานพยาบาลที่เหมาะสมเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
สถานที่ตั้งของคลินิกหรือโรงพยาบาลควรอยู่ในที่ที่สะดวกต่อการเดินทางไปถึง เช่น ใกล้บ้าน หรืออยู่ในตำบล อำเภอที่คุณอาศัยอยู่
คุณควรหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือสอบถามแพทย์ที่คุณไปพบถึงสถานที่ทำงานที่อื่นๆ ที่สามารถติดต่อได้ในเวลาอื่น เช่น คลินิกส่วนตัว หรือโรงพยาบาล และหากแพทย์ท่านนั้นเป็นแพทย์เฉพาะทางที่ทำงานร่วมกับทีมแพทย์เฉพาะทางด้านอื่นๆ ด้านอะไรบ้าง ทำอยู่ที่ไหน ก็เป็นข้อมูลที่ควรทราบไว้
ที่สำคัญถ้าแพทย์ที่คุณไปปรึกษาอยู่ค่อนข้างไกล ก็ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิก สถานบริการสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุดเตรียมไว้ด้วย เช่น จดสถานที่ตั้ง เบอร์โทรศัพท์ไว้ในที่ที่มองเห็นได้โดยสะดวก เผื่อในกรณีจำเป็นฉุกเฉินอย่างน้อยคุณจำเป็นต้องได้รับการปฐมพยาบาลที่รวดเร็วที่สุด แล้วหลังจากนั้นหากจะต้องส่งต่อไปยังแพทย์ประจำ หรือแพทย์เฉพาะทางก็ค่อยว่ากันอีกที
หวังว่าข้อมูลนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ยังงุนงง ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดีกับการไปพบแพทย์ เชื่อเถอะค่ะว่าแพทย์ส่วนใหญ่ใจดีและพร้อมให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพกับคุณเสมอนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

สารอาหารแห่งอนาคต

อาหารฟังก์ชันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนใส่ใจสุขภาพ
เมื่อคุณเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เกต หรือร้านขายของชำ อาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีการโฆษณาว่าใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ให้สารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีประโยชน์ต่อร่างกาย ประกอบกับดีไซน์บรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม พกพาสะดวก ยกตัวอย่างเช่น อุดมไปด้วยวิตามิน กากใยอาหาร ฯลฯ ซึ่งเบื้องหลังของสินค้าอาหารและเครื่องดื่มนานาสรรพคุณ น่าอร่อย น่าลองนี้ก็คือ อาหารฟังก์ชัน (Functional food)
ที่ผู้ผลิตในปัจจุบันพยายามเพิ่มหรือเติมสารอาหารที่สังเคราะห์มาจากวัตถุดิบทางธรรมชาติลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่มธรรมดา ให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ซื้อที่วิ่งตามกระแสสุขภาพ อยากลดความเสี่ยงของการเกิดโรค จึงไม่น่าแปลกว่าธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และก็มีคนคาดการณ์ว่า ธุรกิจสายนี้มีส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 10,000 ล้าน-20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี!
ต้นกำเนิดของเทรนด์อาหารฟังก์ชัน ประเทศแถบเอชียมีอาหารทำนองนี้มานานแล้ว แต่อยู่ในรูปแบบอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรต่างๆ เพื่อป้องกันและรักษาโรคมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น อาหารจีนที่ใช้เครื่องเทศหลากหลายชนิด แต่การเปิดเผยและใช้คำว่าอาหารฟังก์ชันมีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศญี่ปุ่นในยุค 80 เมื่อรัฐบาลเห็นชอบและสนับสนุนให้ทุนเพื่อวิเคราะห์และพัฒนาสารอาหารที่ได้จากสัตว์ พืชหรือแบคทีเรียว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ซึ่งตอนนั้นเรียกกันว่า อาหารเพื่อประโยชน์เฉพาะต่อสุขภาพ หรือ FOSHU และเมื่อ ค.ศ.1988 ประเทศแคนาดาและสวีเดนก็ออกกฎหมายแจ้งให้ผลิตภัณฑ์อาหารใดๆ ที่ใช้สารอาหารแบบนี้ต้องติดฉลากแจ้งบนสินค้า จนถึงปัจจุบันเทรนด์อาหารก็ขยายเข้าสู่การแข่งขันของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างรุนแรง ซึ่งประเด็นหลักของจุดขายใหญ่ก็คือ นำเสนอความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด เน้นผลประโยชน์ด้านสุขภาพ ป้องกันโรคต่างๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชะลอแก่) และสุดท้ายหาซื้อได้สะดวก รับประทานหรือดื่มได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น น้ำผลไม้ นม กาแฟ เครื่องดื่มธัญพืช เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา เป็นต้น
ส่วนประเภทของอาหารฟังก์ชัน เราสามารถแบ่งออกตามลักษณะของแหล่งที่มาได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ นั่นคือ สารอาหารที่มาสัตว์ แบคทีเรียและพืชผักผลไม้ต่างๆ
1. สารอาหารที่ได้จากสัตว์ สารอาหารที่ได้รับการเติมลงในผลิตภัณฑ์มากและได้รับความนิยมก็คือ
โอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 คุณสามารถเห็นสารอาหารเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์อาหารตลาดกลุ่มเด็ก วัยทำงานและผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นกลุ่มกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการ นั่นคือ กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) เป็นกรดไขมันชนิดโอเมก้า-6 (omega-6) และกรดอัลฟ่าไลโนเลนิก (-linolenic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 (omega-3) กรดไขมันทั้ง 2 ชนิดเป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่ม eicosanoid ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 มีผลลดการอักเสบเมื่อเทียบกับกรดไขมันชนิดโอเมก้า-6 จึงอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) และกรดไขมันชนิดนี้ก็ยังช่วยลดการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ด้วย นอกจากนี้ กรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 ที่พบมากในปลาทะเล (Eicosapentaenoic acid, EPA และ Docosahexaenoic acid, DHA) ยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เป็นการลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
แคลเซียม เป็นสารอาหารที่คนส่วนใหญ่รู้จักอย่างดี เพราะช่วยในการสร้างเสริมกระดูกและฟันให้แข็งแรง ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีแคลเซียมมักจะเสริมวิตามินดี และวิตามินเค เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและสร้างเนื้อเยื่อกระดูก ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน
กลุ่มวิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 ไนอาซิน บี 6 บี 12 แพนโธทีนิก และกรดโพลิค (Pholic) มีผลต่อสมาธิ ความคิด ความจำและความฉลาด อาหารในกลุ่มนี้ช่วยป้องกันสมองเสื่อม โดยเฉพาะกรดโพลิค วิตามินบี 6 บี 12 จะช่วยกันทำงานป้องกันการลดระดับของฮอร์โมนซีสเตอีนในเลือด ทำให้ความจำ การเรียนรู้ ไม่ล่าถอยลง มีในอาหารประเภทนมและผลิตภัณฑ์นม และอาหารทะเล
กรดไลโนเลอิค และกรดไลโนเลนิค เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายได้จากอาหารเท่านั้น ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ จึงต้องหามาจากอาหารซึ่งมีจำนวนน้อย นอกจากจะพบในพืชแล้วยังมีในปลาทะเล มีประโยชน์ในการควบคุมระบบความดันโลหิต ควบคมระดับไขมันในเลือด ระบบฮอร์โมนต่าง ๆ ลดการอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือติดเชื้อ ทางด้านสุขภาพจึงนำมาใช้ควบคุมด้านสุขภาพของระบบเส้นเลือด แล้วยังใช้ในสุขภาพผิวอีกด้วย ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้จะทำให้ผิวสดชื่น ไม่แห้งหยาบ คัน หรือลดการเป็นจุดด่างดำ โดยเฉพาะสตรีที่มีอายุมากขึ้น
กรดอะมิโนและโปรตีนเวย์ มีผลในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โปรตีนจากนมในส่วนที่เรียกว่า โปรตีนเวย์ (whey protein) ซึ่งประกอบไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็น ช่วยในการสร้างกลูตาไธโอน (glutathione) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติในร่างกาย ในน้ำนมแม่มีโปรตีนเวย์อยู่ในปริมาณสูง จึงอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทารกที่กินนมแม่มักไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย กรดอะมิโนอาร์จินีนและกลูตามีนมีบทบาทต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกลูตามีนเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน การให้กลูตามีนเสริมในผู้ป่วยหนักที่ต้องให้อาหารทางหลอดเลือดดำเป็นเวลานาน พบว่าช่วยให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในทางเดินอาหารดีขึ้นและลดการติดเชื้อได้
2. แบคทีเรีย เป็นแบคทีเรียสุขภาพที่ดีพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และขับถ่ายของมนุษย์
พรีไบโอติก (Prebiotics) คือ ส่วนของอาหารที่ไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร ซึ่งมีผลทำให้กระตุ้นการเจริญของแบคทีเรียบางชนิดในลำไส้ใหญ่หรือโพรไบโอติกนั่นเอง การหมักพรีไบโอติกจะได้กรดไขมันชนิดสายสั้น เช่น อินูลิน ฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ กาแลกโตโอลิโกแซกคาไรด์ ช่วยปรับสมดุลการขับถ่ายและด้วยคุณสมบัติเหมือนใยอาหารพรีไบโอติกก็จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูก เนื่องจากผลของการเพิ่มน้ำหนักของอุจจาระและผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้จึงช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น และยังช่วยดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดได้ เช่น แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม และสังกะสี
โพรไบโอติก (Probiotics) กลุ่มของจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเข้าไปอยู่ในระบบของร่างกายมนุษย์และสัตว์ แล้วก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ โดยจุลินทรีย์สุขภาพนั้นทำหน้าที่ช่วยปรับสมดุลของสภาพแวดล้อมในระบบลำไส้เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยปรับสมดุลของสภาพแวดล้อมในระบบลำไส้ ช่วยป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ชนิดก่อโรคมาเกาะติดผนังลำไส้ และหลั่งสารพิษที่มีผลทำให้เยื่อบุลำไส้อักเสบได้ เพิ่มความแข็งแรงของผนังลำไส้ ช่วยลดความรุนแรงของอาการท้องเสีย โดยลดระยะเวลาของโรคและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบรรเทาอาการไม่ทนต่อแลคโตส (Lactose intolerance) เนื่องจากแลคโตสไม่สามารถถูกย่อย ดังนั้นหลายคนที่ดื่มนมแล้วจึงเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเดิน ปวดท้อง โพรไบโอติกในอาหารประเภทนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตสามารถช่วยบรรเทาอาการนี้ได้ เนื่องจากโพรไบโอติกได้ช่วยย่อยแลคโตสไปแล้วในระหว่างการหมัก จึงทำให้มีแลคโตสเหลือน้อยกว่าหรือไม่มีเลย
แลคโตบาซิลลัส และเสต็ปโตคอกคัส เป็นแบคทีเรียยอดนิยมในอาหารประเภทนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตต่าง ๆ บางสายพันธุ์อาจช่วยให้ระบบลำไส้แข็งแรงขึ้น และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด อีกทั้งยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในคนบางกลุ่ม แต่จะทำงานได้ดียิ่งขึ้นถ้าได้รับแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินบี 2 ฟอสฟอรัส และโพรไบโอติกร่วมด้วย
3. จากพืช ผักและผลไม้ ได้แก่ กากใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่คนเราต้องการในแต่ละวัน แม้จะต้องการปริมาณไม่มากแต่ก็ขาดไม่ได้ และกลุ่มวิตามินป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี หรือศาสตร์ชะลอแก่ พวกแอนติออกซิแดนซ์ ก็กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนี้ ยกตัวอย่างเช่น
คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของผิวหนัง ทำหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายในและเป็นตัวเชื่อมอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น นุ่มนวล ยืดหยุ่นได้ดี ไม่เหี่ยวย่น จึงได้รับความสนใจในการใช้เสริมอาหารเพื่อเสริมสุขภาพผิว การได้รับเสริมในอาหารอาจจะช่วยหรือกระตุ้นกระบวนการสังเคราะห์ คอลลาเจนในร่างกายจึงเป็นกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิวที่ต้องทำการวิจัยเพิ่มเติม
ฟลาโวนอยด์ เป็นสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและอาจช่วยป้องกันมะเร็ง ลดการอักเสบของข้อ ชะลอภาวะหลงลืมง่าย
โคเอนไซม์คิว 10 เป็นสารที่ทำหน้าที่กับสารตัวอื่นๆ ในการรักษาอาการผิดปกติมานานแล้วในวงการแพทย์ มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ ส่งเสริมภูมิต้านทาน ทำให้สดชื่นกระฉับกระเฉง ป้องกันโรคสมองเสื่อมและลดความดัน แต่ช่วงหลังได้รับความสนใจมากจากในเรื่องยับยั้งการสร้างสารอนุมูลอิสระ เราสามารถรับโคเอนไซม์คิว 10 ได้จากการรับประทานตับ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เป็นต้น
ไลโคปีน สารอาหารที่พบมากในผักหรือผลไม้ที่มีสีสันแดง-ส้ม หรือผลไม้จำพวกที่ขึ้นต้นด้วย มะ ทั้งหลาย เช่น มะเขือเทศ มะม่วง มะปราง มะละกอ ป้องกันเซลล์ระบบภูมิต้านทานจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ป้องกันภาวะจอตาเสื่อม โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น
คาเตชิน ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอล และช่วยลดการแข็งตัวของเลือด ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 200 มก. เรามักพบสารนี้ในเครื่องดื่มประเภทชาหรือกาแฟ ข้อควรระวังคือ สตรีที่ให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาเขียว
เพกติน มาจากใยอาหารชนิดละลายน้ำ ช่วยป้องกันหลอดเลือดจากการทำลายของโคเลสเตอรอลชนิดร้าย มีประโยชน์ต่อการรักษาโรคอุจจาระร่วงและโรคเบาหวาน
ลูเตอินและซีแซนทิน เป็นสารอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน ได้มาจากผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง ส้มและเขียวสด ช่วยบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น
กรดไฮยาลูโรนิค เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้ในชั้นหนังแท้ มีคุณสมบัติสำคัญคือ สร้างความยืดหยุ่นและชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง เพราะสามารถดูดและอุ้มน้ำได้ถึง 1,000 เท่า สารชนิดนี้เป็นส่วนประกอบสุดฮิตที่เติมลงในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง แต่ปัจจุบันได้แผ่ขยายความนิยมมาในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบ้างเพื่อสร้างจุดขาย แต่เนื่องจากปริมาณที่เติมมีสัดส่วนน้อย ดังนั้นจึงเป็นการรับประทานตามแฟชั่นมากกว่าหวังผล 100%
ดังนั้นไม่ว่าอาหารหรือเครื่องดื่มจะผ่านกระบวนการคิดค้น วิจัยหรือพัฒนาให้อุดมไปด้วยสารอาหารอย่างครบครันแค่ไหน คุณก็ยังต้องรับประทานอาหารที่ปรุงสดๆ ใหม่ๆ ทั่วไปเป็นหลัก เพราะร่างกายคนเราต้องการสารอาหารที่หลากหลายจากอาหารหลากชนิด การหวังพึ่งหรือยึดติดกับอาหารแห่งอนาคตมากไปไม่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอย่างยั่งยืน พูดง่ายๆ คือ ต้องเดินสายกลาง ถ้าคุณคิดว่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่เป็นประจำอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องดิ้นรนหามารับประทานมากนัก แต่ถ้าคิดว่าชีวิตประจำวันยุ่งจนไม่มีเวลารับประทานอาหารให้ครบได้ ก็รับประทานอาหารหลักคู่กับอาหารที่เติมสารอาหารพิเศษร่วมด้วยก็ได้ แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมแก่ความต้องการและถูกกับโรคของตัวเองนะคะ
เราชวนคุณให้เป็นคนหูหนักและจู้จี้! กรณีผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชันที่โฆษณาอ้างเกินจริง
เทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยอำนวยความสะดวกให้ทางเลือกแก่ผู้ซื้อให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลาย และครบถ้วนจากการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มนั้นๆ แต่การเติมสารอาหารทุกอย่างก็มีข้อควรระวังเช่นกัน โดยเฉพาะสารอาหารที่เติมลงไปนั้นต้องปลอดภัยต่อสุขภาพจริง ได้รับมาตรฐานและตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว และที่สำคัญคุณยังจำเป็นต้องศึกษาและใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อก่อนนำมารับประทานเสมอ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการอ้างอิงหรือโฆษณาที่เกินจริง ซึ่งล่าสุดมีตัวอย่างให้เห็นทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่า กาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่งได้ลักลอบใส่สารซิลเดนาฟิล (Sildenafil) ยาที่ใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผลข้างเคียงคือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน หากผู้ที่เป็นโรคหัวใจดื่มก็อาจอันตรายถึงเสียชีวิตได้ เช่นเดียวกับการโฆษณาว่า อาหารหรือเครื่องดื่มนั้นมีสรรพคุณในเชิงป้องกันรักษาโรค เช่น ลดความอ้วน ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ดาวหาง ,,*





แหล่งกำเนิดของดาวหาง

เชื่อกันว่าเป็นวัตถุที่เหลือจากการสร้างระบบสุริยะ เป็นคล้ายบริวารรอบนอกของระบบ ตามปกติจะมีดาวหางจำนวนหนึ่งโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์แล้วกลับคืนออกไปขอบนอกของระบบสุริยะ แต่มีบางดวงที่โคจรอยู่ภายในระบบสุริยะ

ส่วนประกอบของดาวหาง เมื่อดาวหางโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากๆ จะมีลมสุริยะ ทำให้ก๊าซแตกตัวเป็นไออนถูกผลักดันไปในทางตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ หางของมันจะมีความยาวมากเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และจะชี้ออกจากดวงอาทิตย์เสมอ

ส่วนหัวของดาวหางจะเป็นก้อนน้ำแข็ง ก๊าซแข็งสกปรกและฝุ่นละออง

ส่วนหาง มี 2 ประเภท คือ หางฝุ่นมักมีสีเหลืองสั้นและมักจะโค้ง หางไอออนหรือหางพลาสมา มักมีสีน้ำเงินและเหยียดตรง ดาวหางบางดวงมีหางอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่บางดวงก็มีทั้ง 2 ประเภท
ดาวหางทุกดวงมีกลุ่มก๊าซไฮโดรเจนห่อหุ้มอยู่
การโคจรของดาวหางและการค้นพบ ส่วนมากโคจรเป็นรูปวงรี อาจตามเข็มหรือทวนเข็มนาฬิกาก็ได้ ปีหนึ่งๆ จะมีดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์แล้วสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ประมาณ 6-7 ดวง

การเรียกชื่อดาวหาง เรียกชื่อตามปีคริสตศักราชตามด้วยอักษรอังกฤษตัวเล็กตั้งชื่อตามผู้ต้นพบบางครั้งตั้งชื่อตามผู้ทำการคำนวณ


วันนั้นของเดือน !!


>> โมโหง่าย ขี้หงุดหงิด อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ

สาเหตุมาจากภาวะขาดน้ำตาลในเลือดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงมีรอบเดือน วิธีแก้ไขที่ทำได้ง่ายๆ ก็คือลองกินอาหารมื้อเล็กลงแต่บ่อยครั้งขึ้น เติมพลังด้วยวิตามินบี 6 รวมทั้งหาเวลาออกกำลังกายเบาๆ อย่างเช่น การเดินหรือขี่จักรยาน เพื่อให้ระบบร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินช่วยให้อารมณ์เบิกบานขึ้นค่ะ

>> ซึมเศร้า เหงาหงอย ขี้แย สับสน และหลงลืม

สาเหตุมาจากช่วงนั้นของเดือน ร่างกายจะมีเกลือและไขมันมากกว่าปกติ ทำให้ฮอร์โมนเจ้าอารมณ์อย่างเอสโตรเจนมีระดับเพิ่มขึ้น สาวๆ สามารถแก้ไขปัญหานี้ด้วยการเลือกกินอาหารที่มีไขมันต่ำ และเพิ่มแร่ธาตุสังกะสีให้กับร่างกาย ซึ่งจะเป็นวิธีที่ช่วยลดอาการเศร้าหดหู่ได้ค่ะ

>> กังวลใจเรื่องความสะอาดและกลิ่นอับชื้น

ช่วงเวลาอันแสนอับชื้นนี้ย่อมสร้างความกังวลใจให้สาวๆ ได้อย่างแน่นอน แต่แก้ไขได้ง่ายมากๆ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นช่วยในการรักษาความสะอาดและกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่สกัดมาจากสมุนไพรและมี pH balance ที่มีความอ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้นนี้ นอกจากจะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้แล้ว ยังช่วยรักษาความสะอาดได้ดีอีกด้วย โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวควรผ่านการตรวจสอบและทดลองมาแล้วว่าปลอดภัยจริงค่ะ

>> น็อตหลวม หมดแรง เหนื่อยง่าย

สาเหตุมาจากความแปรปรวนของฮอร์โมนเพศ สาวๆ จะต้องงดอาหารหวานจัด และที่สำคัญควรออกกำลังกายวันละประมาณ 30 นาทีเพื่อปรับสมดุล พร้อมกับเลือกรับประทานวิตามินเอหรือน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เพราะจะช่วยดูแลสภาพผิวให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าเพลียนักล่ะก็ ลองหาเวลางีบ ทำสมาธิ หรือเล่นโยคะก็ยังได้ค่ะ

>> ระบบย่อยทำงานเร็วผิดปกติ หิวตลอด

สาเหตุมาจากช่วงก่อนมีรอบเดือน สารเซโรโทนินในร่างกายจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความต้องการคาร์โบไฮเดรตมากกว่าปกติค่ะ ดังนั้นพี่เหมี่ยวแนะนำว่าอยากกินก็กินเลย... แต่ควรควบคุมปริมาณด้วยนะคะ เลือกกินผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยๆ และหากิจกรรมอื่นๆ ทำเพื่อผ่อนคลาย

>> รู้สึกตัวบวม ท้องอืด และอาหารไม่ย่อย

เรียกได้ว่าเป็นอาการข้างเคียงของวันนั้นของเดือน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ สาวๆ ควรลดการบริโภคเกลือ ออกกำลังให้ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 20 นาที เลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง รวมทั้งวิตามินบี 6 และน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส หากมีอาการท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยก็ควรงดกาแฟและแอลกอฮอล์ก่อนมีรอบเดือนไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์นะ


5 สิ่งที่วัยรุ่นชอบทำในห้องสมุด ??





>> ไปอ่านหนังสือ

ยามเช้าก่อนเข้าแถวก็ไปอ่านหนังสือพิมพ์ ช่วงเที่ยงหลังทานข้าวก็ไปหาหนังสือแนวสนใจ หรือแม้กระทั่งช่วงเย็นรอเพื่อนกลับบ้านก็แวะเข้าไปเล่นอินเตอร์เน็ตสักหน่อย วัยรุ่นที่เข้าห้องสมุดไปด้วยเหตุผลนี้ คุณคือหนอนหนังสือที่น่ารักนี่เอง..


>> หาข้อมูลทำรายงาน

อาจารย์สั่งรายงานมา 10 หน้า หากเขียงเองคงได้แค่ 2 หน้ากว่าๆ ดังนั้นอีก 8 หน้าที่เหลือ วัยรุ่นส่วนใหญ่วางใจห้องสมุด เพื่อที่จะเข้าไปศึกษา ค้นคว้า และทำความเข้าใจ จึงไม่แปลกใจที่เวลารายงานเข้า วัยรุ่นก็จะเข้าห้องสมุดด้วยเช่นกัน..


>> ไปลอกการบ้าน

ด้วยความที่ในช่วงเช้าห้องสมุดจะเงียบ และห่างไกลอาจารย์ท่านต่างๆ วัยรุ่นวันซนทั้งหลายที่เผลอลืมลอก เอ๊ย ! ลืมทำการบ้านมา จึงเลือกทำเลนี้ในการคัดลอก และถ่ายสำเนาการบ้านด้วยมือ เมื่อสำเนาเสร็จก็ไปเข้าแถวเคารพธงชาติต่อไป ^_^

>> ไปหลับพักผ่อน

หนึ่งในมุมที่จะเงียบ สงบ และหลบผู้คนได้ดีที่สุดในโรงเรียนนั้น คงจะหนีไม่พ้นห้องสมุด ที่มีชั้นหนังสือ และซอกมุมต่างให้เล่นซ่อนแอบ ประกอบกับอากาศเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศ และความเงียบจึงทำให้หลายคนได้เข้าเฝ้าพระอินทร์สมใจหวัง - -"

>> เหล่หนุ่มสาวที่แอบปลื้ม

ไม่ต้องแปลกใจที่เห็นเพื่อนบางคนเข้าไปในห้องสมุด แต่ไม่หยิบหนังสือมาอ่าน มาเพ่งดูเลยซักเล่ม ให้สันนิษฐานไว้เลยว่า เพื่อนคนนั้นเขากำลังจ้อง หรือเหล่ใครบางคนอยู่ เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ถึงขนาดมีคำติดปากที่ว่า “มนต์รักห้องสมุด”

ตำราหมอจีน


แนะนำเคล็ดลับไว้ 12 ข้อดังต่อไปนี้...

1. หวีผมบ่อยๆ: หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรง เบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)

2. ถูใบหน้าบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี ขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง

3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง

4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5. ขบฟันบ่อยๆ: ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลัง ลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย

7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ: การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. > หมั่นขับของเสีย: หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อ ป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย

9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10. ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11. เคลื่อนไหวทุกข้อ: การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อน ไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12. ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไป นานๆ ครับ... ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์ แผนจีนแนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน นำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดย ใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบ...



อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่...

1. ไข่เยี่ยวม้า: ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ

2. ปาท่องโก๋: กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงาน หนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะ คนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย

3. เนื้อย่าง: กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

4. ผักดอง: ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือ มากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสาร ก่อมะเร็ง

5. ตับหมู: ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรค หัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น

6. ผักขม ปวยเล้ง: ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาด แคลเซียม หรือสังกะสีได้

7. บะหมี่สำเร็จรูป: บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การ กินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหาร และการ สะสมสารพิษได้

8. เมล็ดทานตะวัน: เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทว่า... การกินมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำ ให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น

9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้: กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย... ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อ คนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

10. ผงชูรส: คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา... การกินผงชูรสมาก เกิน หรือบ่อยเกินทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูงอาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์
วันนี้ในอดีต !!

3 ส.ค.

Edison กับ X-Rays ในปี 1903 มีข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ New York World ในเรื่อง Thomas Edison's เกี่ยวกับการบาดเจ็บจาก X-Ray ภายใต้หัวข้อข่าวว่าเอดิสันมีความกลัวอันตรายที่มองไม่เห็นของรังสีเอ๊กซ์ "Edison Fears Hidden Perils of the X-rays" และได้ลงรายละเอียดประวัติการบาดเจ็บของพนักงานของเอดิสัน โดย Clarence Dally ซึ่งถูกตัดมือและแขนเนื่องจากจากมะเร็งที่เกิดจากการได้รับรังสีเอ๊กซ์ ตัวเอดิสันเองก็เคยได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา 2 ปีก่อนนั้น จากการมองที่เครื่อง X-ray fluoroscope ของเขา ทำให้มีปัญหาในการโฟกัสภาพของดวงตาข้างซ้าย และทำให้เขาต้องทำการวิจัยเกี่ยวกับรังสีเอ๊กซ์เพิ่มขึ้นอีกมาก เอดิสันได้กล่าวไว้ใน "Wizard of Menlo Park" ว่าเขามีความกลัวเรเดียมและโปโลเนียมเช่นกัน จึงไม่ต้องการเป็นสัตว์ทดลองกับสิ่งเหล่านี้

Edison กับการเรืองแสงของเรเดียม
ในปี 1903 หนังสือพิมพ์ New York World ได้ตีพิมพ์บทความแสดงความเห็นของ Thomas Edison's เกี่ยวกับเรเดียม โดยกล่าวว่าเขาได้รับเรเดียมจำนวนหลายชิ้น ของมาดามคูรี จากฝรั่งเศส ได้เคยทำการทดลอง แต่ยังไม่เห็นทางที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ แต่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่เปิดโลกการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างมาก ทำให้สามารถพลิกทฤษฎีเกี่ยวกับแรงและพลังงาน นอกจากนั้นเอดิสันได้กล่าวว่า เขามีทฤษฎีแปลกๆเกี่ยวกับเรเดียม และเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเขาเชื่อว่าในจักรวาลมีรังสีประหลาดบางอย่างกระจายอยู่ทั่วไป พลังงานเหล่านี้ไม่มีโครงสร้างของตัวเอง แต่มีบางอย่างอยู่ในบรรยากาศ ที่นักวิทยาศาสตร์ยังค้นไม่พบ ที่ทำให้ยึดอะตอมอยู่

5. ส.ค.

สนธิสัญญาจำกัดการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ (Limited Test Ban Treaty) ในปี 1963 อังกฤษ อเมริกา และรัสเซีย ได้ลงนามในสนธิสัญญาจำกัดการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ที่กรุงมอสโคว์ เพื่อห้ามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ หรือระเบิดนิวเคลียร์ชนิดอื่นในบรรยากาศ ในอวกาศ และใต้น้ำ ส่วนการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดิน จะต้องไม่ทำให้กัมมันตภาพรังสีแพร่ออกไปนอกพื้นที่จำกัด ในประเทศของตนเอง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะหยุดการทำให้เกิดการปนเปื้อน สารกัมมันตรังสีต่อสิ่งแวดล้อม การลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ เป็นผลจากการเจรจามากกว่า 8 ปี ในการที่จะแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับแนวคิด ในเรื่องของความปลอดภัยและการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ และก่อนที่สัญญาฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 10 ตุลาคม 1963 ได้มีประเทศเข้าร่วมลงนามทั้งหมด 108 ประเทศ

ระเบิดปรมาณู (Atomic Bomb)
เมื่อปี 1945 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลงที่ เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น

8. ส.ค.

การประชุมเรื่องพลังงานปรมาณู (Atomic energy conference) เมื่อ ปี 1955 ได้มีการประชุม เพื่อปรึกษากันถึงเรื่องการใช้พลังงานปรมาณูในทางสันติ ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์

9 ส.ค.

การทิ้งระเบิดปรมาณู (Atomic bomb dropped) เมื่อปี 1945 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลงที่ เมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น

12 ส.ค.
ระเบิดไฮโดรเจนของโซเวียต Soviet H-bomb เมื่อปี 1953 สหภาพโซเวียตได้จุดระเบิดไฮโดรเจนลูกแรก ที่ Kazakhstan ภายหลังจากที่ประธานาธิบดี แฮรี ทรูแมน ประกาศว่าสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาระเบิดไฮโดรเจน เมื่อวันที่ 7 มกราคม 1953 ได้ไม่ถึงปี สหภาพโซเวียต ได้ตีพิมพ์ข่าวเรื่องระเบิดไฮโดรเจนลูกแรกลงในหนังสือพิมพ์ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 1953 ซึ่งมีแรงระเบิดเทียบเท่ากับ ระเบิด TNT 400 กิโลตัน มากกว่าระเบิดปรมาณูที่ทิ้งลงที่ฮิโรชิมา 30 เท่า ระเบิดไฮโดรเจนของสหภาพโซเวียตออกแบบโดยใช้ "Layer Cake" ขนาดเล็กพอดีกับเครื่องบิน เพื่อให้สามารถขนส่งได้สะดวก ทำให้มีขีดจำกัดของปริมาณเชื้อเพลิงเทอร์โมนิวเคลียร์และแรงระเบิด ซึ่งแตกต่างจาก ระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ของสหรัฐ ชื่อ Mike ที่ทำการทดลองเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 1952 ที่ออกแบบให้มีระเบิดได้สูง

13 ส.ค.

ไอออนของฮีเลียมจากเรเดียม (Helium ions from radium)เมื่อปี 1903 วารสาร Nature ได้รายงานว่ากาซฮีเลียมสามารถผลิตได้จากการสลายตัวของเรเดียม หลักการนี้ค้นพบโดย William Ramsay และ Frederick Soddy ซึ่งช่วยเปิดเผยถึงโครงสร้างของอะตอม ในปี 1908 รัทเธอฟอร์ด ได้ยืนยันว่า รังสีอัลฟาที่ออกมาจากเรเดียม มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับ นิวเคลียสของอะตอมของธาตุฮีเลียม โดยมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก ทั้งหมดได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี โดย Ramsey ได้รับในปี 1904 จากการค้นพบกาซเฉื่อย Rutherford ได้รับในปี 1908 จากการค้นพบการสลายตัวของธาตุ Soddy ได้รับในปี 1921 ในการเป็นผู้บุกเบิก ในการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจ เกี่ยวกับคุณบัติทางเคมี ของธาตุกัมมันตรังสี เช่น เรเดียม และยูเรเนียม

16 ส.ค.

ชื่อธาตุที่ 110 (Element 110 named) เมื่อปี 2003 นักเคมีที่กรุงออตตาวาได้ลงมติในการเสนอชื่อธาตุที่ 110 ว่า Darmstadtium, และใช้สัญลักษณ์ Ds ซึ่งค้นพบที่ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์พลังงานสูงในเยอรมันนี ในปี 1994 ซึ่งธาตุที่ 110 ถูกสร้างขึ้นโดยมีอายุไม่ถึง 1/1000 วินาทีนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์วิจัยไอออนหนัก ซึ่งมีชื่อย่อว่า GSI ในเยอรมันนีเป็นผู้ค้นพบและเสนอชื่อ เพื่อเป็นที่ระลึกให้แก่เมือง Darmstadt โดย IUPAC (International Union of Pure and Applied Chemistry) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีนักเคมีจากกว่า 80 ประเทศ จะเป็นผู้คัดเลือกชื่อธาตุที่เป็นทางการ สัญลักษณ์ และเทอมที่ใช้ทางวิทยาศาสตร์

18 ส.ค.

ฮีเลียม (Helium) เมื่อปี 1868 Pierre Janssan ได้ค้นพบขณะที่เกิดสุริยคราส ว่ามีสเปกตรัมของธาตุฮีเลียมอยู่ในแสงอาทิตย์

19 ส.ค.

พลังงานปรมาณูในเชิงพาณิชย์ (Commercial atomic energy) เมื่อปี 1960 เครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูเชิงพาณิชย์เครื่องแรก และเป็นเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู เครื่องที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา ได้เดินเครื่องจนปฏิกิริยานิวเคลียร์ถึงระดับคงที่ และเริ่มจ่ายไฟฟ้าเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 1960 โดยเป็นของบริษัท Yankee Atomic Electric Company มีมูลค่า 57 ล้านเหรียญ ตั้งอยู่ที่เมือง Rowe รัฐแมสซาชูเซตต์ ริมฝั่งแม่น้ำ Deerfield เครื่องปฏิกรณ์แบบ pressurized light-water reactor เครื่องนี้ให้กำลังไฟฟ้า 125,000 กิโลวัตต์ โดยบริษัทที่เป็นเจ้าของ เกิดจากการรวมตัวของ 12 บริษัทใน New England โดยให้ Westinghouse Corporation เป็นผู้ดำเนินการหลัก หลังจากการเดินเครื่อง 31 ปี เครื่องปฏิกรณ์ปิดตัวลงเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1992 และใบอนุญาตได้หมดอายุลงในปี 1993

20 ส.ค.

ระเบิดไฮโดรเจนของโซเวียต (Soviet H-bomb) เมื่อปี 1953 หนังสือพิมพ์ของสหภาพโซเวียตได้เสนอข่าวการทดลองระเบิดไฮโดรเจน

22 ส.ค.

เรือนิวเคลียร์ Nuclear ship ในปี 1962 มีการปล่อยเรือเดินสมุทรพลังงานนิวเคลียร์ลำแรกชื่อ The Savannah ที่ท่าเรือเมือง Yorktown รัฐเวอร์จิเนีย ไปยังเมือง Savannah รัฐจอร์เจีย

เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ (Nuclear reactor) เมื่อปี 1950 เครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัย Brookhaven Graphite Research Reactor (BGRR) ซึ่งเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่นำมาประยุกต์ใช้ในทางสันติเครื่องแรก เดินเครื่องถึงค่าวิกฤต โดยมีรูปแบบเดียวกับเครื่องปฏิกรณ์ฯ ที่ประสบความสำเร็จที่ห้องปฏิบัติการ Oak Ridge National Laboratory มีการออกแบบและปรับปรุงอุปกรณ์ ทำให้ BGRR สำหรับใช้ในงานวิจัยด้านการแพทย์ ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และวิศวกรรมนิวเคลียร์ แกนเครื่องปฏิกรณ์ฯ ประกอบด้วยลูกบาศก์กราไฟต์ ขนาด 25 ฟุต จำนวน 700 ตัน มียูเรเนียมเป็นเชื้อเพลิง อยู่ภายในกำแพงเหล็กกล้า และคอนเกรีตความหนาแน่นสูง หนา 5 ฟุต มีเชื้อเพลิงทั้งหมด 1,369 แท่ง โดยมีการใช้งานครั้งละประมาณครึ่งหนึ่ง มีการควบคุมปฏิกิริยานิวเคลียร์ โดยการสอดแท่งเหล็กผสมโบรอน ลงไปในแกนเครื่องปฏิกรณ์ฯ

24 ส.ค.

ระเบิดไฮโดรเจนของฝรั่งเศส (French H-bomb) เมื่อปี 1968 ฝรั่งเศสได้จุดระเบิดไฮโดรเจน ในการทดลองที่แปซิฟิกใต้ ซึ่งนับเป็นการทดลองระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ครั้งที่ 5 ของโลก มีชื่อปฏิบัติการว่า Canopus ระเบิดมีขนาด 3 ตัน ใช้บอลลูนนำไปจุดระเบิดที่ความสูง 600 เมตร เหนือ หมู่เกาะ Fangataufa Atoll ห่างจากหมู่เกาะ Moruroa ไปทางตะวันตะวันออกเฉียงใต้ 41 กิโลเมตร โครงการนี้มีนักฟิสิกส์หนุ่มชื่อ Roger Dautry เป็นหัวหน้าโครงการ นับเป็นระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส มีแรงระเบิด 2.6 เมกกะตัน ใช้เชื้อเพลิงเป็น lithium-6 deuteride อยู่ภายในยูเรเนียม (highly enriched uranium) การปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ทำให้มีการห้ามอยู่อาศัยบนหมู่เกาะนี้เป็นเวลา 6 ปี

27 ส.ค.

แกลเลียม (Gallium) เมื่อปี 1875 P.E. Lecoq de Boisbaudran ได้ค้นพบธาตุแกลเลียม ในบทความในวารสาร the Annales de Chimie ที่ตีพิมพ์ในปี 1877 เขากล่าวว่าได้เริ่มต้นการค้นหาธาตุนี้มาแล้ว 15 ปี แต่เนื่องจากมีปริมาณวัตถุดิบไม่เพียงพอ จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1874 จึงได้รับแร่จำนวน 52 กิโลกรัมจากเหมือง Pierrefitte และสกัดตัวอย่างออกมาได้จำนวนเล็กน้อย (ประมาณ 1/100 มิลลกรัม) ในคืนวันที่ 27 สิงหาคม 1875 เวลา 3-4 นาฬิกา จากเครื่องวิเคราะห์แบบสเปกโตรสโคปี แสดงถึงแถบสีม่วงที่ความยาวคลื่น 417.0 แสดงถึงธาตุใหม่ ที่ไม่ตรงกับธาตุใดที่เคยทราบมาก่อน

29 ส.ค.

ธาตุที่ 109 (Element 109) เมื่อปี 1982 มีการสร้างอะตอมของธาตุใหม่ขึ้นมา และตั้งชื่อว่า Meitnerium ใช้สัญลักษณ์ Mt โดยนักฟิสิกส์จากศูนย์วิจัยไอออนหนัก (Heavy Ion Research Laboratory) ที่ Darmstadt ประเทศเยอรมันนี และพบว่าเป็นธาตุที่ 109 โดยการเร่งนิวเคลียสของ Fe-58 ให้ยิงใส่ไอโซโทป Bi-209 เป็นเวลา 1 สัปดาห์ จึงได้นิวเคลียสที่เกิดจากการรวมกันของนิวเคลียสทั้งสอง ทีมวิจัยได้แยกกันทำการทดลองซ้ำ 4 ครั้ง เพื่อยืนยันว่าเป็นธาตุที่ 109 นิวเคลียสที่เกิดขึ้น สลายตัวด้วยเวลา 5 มิลลิวินาที หลังจากที่ชนกับเครื่องวัด การทดลองนี้แสดงถึง การใช้เทคนิคการหลอมรวมนิวเคลียส เพื่อสร้างนิวเคลียสหนักของธาตุใหม่

ระเบิดปรมาณูลูกแรกของสหภาพโซเวียต (USSR's first atomic bomb) เมื่อปี 1949 สหภาพโซเวียตได้ทำการทดลองระเบิดปรมาณูลูกแรก ซึ่งเป็นระเบิดแบบพลูโตเนียม โดยทำการระเบิดที่พื้นที่ Semipalatinsk โดยมีแรงระเบิด 20 กิโลตัน สหรัฐอเมริกาเรียกว่าทดลองนี้ว่า Joe No. 1 (Joe เป็นชื่อเล่นของ Y. Stalin) การทดลองนี้ทำสำเร็จเร็วกว่าที่ฝ่ายตะวันตกคาดไว้ 5 ปี ส่วนหนึ่งเนื่องจากสายลับที่ชื่อ Klaus Fuchs ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ที่ Los Alamos ได้นำรายละเอียดของพิมพ์เขียว ต้นแบบระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกาที่ Trinity ไปให้แก่รัสเซีย ความสำเร็จในการทดลองของรัสเซีย ทำให้หมดยุคที่สหรัฐอเมริกาผูกขาดอาวุธปรมาณู จึงได้เร่งโครงการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ขนานใหญ่ และทำให้โลกเริ่มเข้าสู่ยุคสงครามเย็น

ดอกไม้ประจำวันแม่ >><<


มะลิเป็นไม้พุ่มขนาดปานกลาง มีพุ่มต้นสูงเต็มที่ประมาณ 5 ฟุต เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย รูปใบมนป้อมปลายใบแหลม มีสีเขียวเข้มแข็งหนา ขนาดใบยาว 1.5 - 3 นิ้ว ดอกเป็นสีขาว มีทั้งชนิดดอกซ้อนและดอกลา เมื่อบานเต็มที่จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ในคติของคนไทย ถือกันว่าดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์และเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเย็นระรื่นใจจึงยกย่องให้ดอกมะลิเป็นสัญลักษณ์ เป็นดอกไม้วันแม่แห่งชาติ ซึ่งทางราชการให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมา
จากหนังสือกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ชื่อแม่หลวงของปวงชน พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2520 มีข้อความตอนหนึ่งเทิดพระเกียรติไว้ว่า
"แม่ที่ดีย่อมรู้จักส่งเสริมธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ เพราะแม่ทราบดีว่าถ้าขาดสิ่งเหล่านี้แล้ว ความเป็นไทยที่แท้จริงจะมิปรากฎอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา แม่ที่ดีย่อมประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามระบอบของการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยรักเคารพและเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด
หญิงไทยทุกคน ย่อมจะมีคุณลักษณะต่าง ๆ ของแม่ที่ดีดังกล่าวข้างต้นนี้อยู่แล้วจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการศึกษาและการฝึกหัดอบรม แต่จะหาหญิงใดที่มีคุณลักษณะครบถ้วนทุกประการเสมอเหมือนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถนั้นไม่ง่ายนัก ด้วยเหตุนี้เราจึงขอเทิดทูนพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่าทรงเป็นแม่หลวงของปวงชน ผู้ทรงเป็นศรีสง่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของบ้านเมือง และของประชาชนชาวไทยทั้งมวล"
ข้อความดังกล่าวนี้เป็นเรื่องของวันแม่แห่งชาติตามเหตุผลของทางราชการ และกำหนดให้ถือว่า ดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่ตัวเรา อย่างคำประพันธ์บทดอกสร้อยชื่อ แม่จ๋า ของ ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ที่ว่า
ดอกเอ๋ยดอกมะลิ
สดสะอาดปราศสีราคีระคน
กลิ่นมะลิหอมกระไรไม่รู้สร่าง
อันรักแท้แลหัวใจได้บรรยาย
ถึงยามผลิกลิ่นพราวสกาวต้น
เหมือนกมลใสสดหมดระคาย
เปรียบได้อย่างรักแท้ไม่แปรหาย
ขอเชิญทาย ณ ที่ไหนจากใครเอย