วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีเพิ่มน้ำหนัก อย่างมีสุขภาพดี


วันนี้เราขอแนะเคล็ดลับวิธีเพิ่มน้ำหนัก สำหรับคนที่มีน้ำหนักน้อยให้อวบอิ่มสุขภาพดีมาฝาก
เริ่มจาก การแบ่งมื้ออาหารให้ถี่ขึ้น แทนที่จะกินอาหาร 3 มื้อหลัก ให้แบ่งเป็น 5 -6 มื้อต่อวัน
เลือกกินคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ ขนมปังโฮลวีต หรือคาร์โบไฮเดรตจากผัก ผลไม้ เช่น ข้าวโพด เผือก และมันอบ
เน้นรับประทานโปรตีนจากเนื้อปลา โดยเฉพาะปลานึ่ง
ดื่มน้ำผลไม้ เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจนเกินไป วิธีนี้ช่วยเพิ่มแคลอรี่อีกทางหนึ่ง
ออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก เพราะจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ
เพียงเท่านี้น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้นแบบไม่เสียสุขภาพแน่นอน.

แพ้ไข่

ใครจะไปคิดว่าอาหารที่กินง่าย ๆ อย่างไข่ จะทำให้เกิดอาการแพ้ได้
แถมวัคซีนที่ใช้ไข่ในกระบวนการผลิต อย่าง วัคซีนหวัด 2009 ชนิดเชื้อเป็น ที่ประเทศไทยกำลังผลิตอยู่ คนแพ้ไข่ก็เสียโอกาสไปด้วย อยากรู้ว่า แพ้ไข่ อาการเป็นอย่างไร นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่า ในเด็กก่อนขวบปีแรกที่แพ้อาหาร เช่น ไข่ขาว นมวัว ถั่วลิสง กลุ่มนี้จะพบได้ประมาณ 5-7% การแพ้ไข่ เป็นการแพ้โปรตีนในไข่ขาว คือ อัลบูมิน โดยสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ คือ โอโวมิวคอยด์ เป็นโปรตีนตัวหนึ่ง ซึ่งทนความร้อนได้ดีมาก แม้ต้มไข่แล้วโปรตีนตัวนี้ก็ยังคงอยู่ เด็กอายุยังไม่ถึง 8 เดือน จึงไม่อยากให้กินไข่ขาว ถ้าสงสัยว่าแพ้ให้หลีกเลี่ยงไข่ขาวไว้ก่อน อาการแพ้ไข่ขาว จะมี 2 อย่าง คือ อาการเฉพาะที่ และอาการ โดยรวมทั่วร่างกายอาการเฉพาะที่ ได้แก่ ปากบวมแดง คันในกระพุ้งปาก เยื่อบุอ่อน ๆ ในปาก หรือบางคนปากบวมเหมือนครุฑเลย อาการโดยรวม จะมีได้ตั้งแต่เป็นผื่นลมพิษ บางทีแน่นหน้าอก หลอดลมตีบ หายใจวี้ด ๆ เหมือนเป็นหอบ คนไข้ที่แพ้ไข่ ส่วนใหญ่จะเจอในเด็กทารกไปจนถึงอายุ 6 ขวบ หรือไปจนถึงอายุก่อนเข้าวัยรุ่น แต่พอโตขึ้นไปแล้วร่างกายเหมือน ได้ภูมิต้านทานมาเรื่อย ๆ โดยคนที่แพ้ไข่ขาว นั้น มักจะแพ้ถั่วลิสง แพ้กลูเต็น หรือสารในข้าวสาลีด้วย พอกินอาหารเหล่านี้มาเรื่อย ๆ โตขึ้นจะทำให้มีภูมิต้านทานและไม่แพ้ไข่ขาวอีก ดังนั้นคนที่แพ้ไข่ขาวจะไม่แพ้ตลอดชีวิต ในเด็กที่แพ้ไข่ขาวบางคนจะมีผื่นคล้าย ๆ กลากน้ำนมที่บริเวณแก้มทั้ง 2 ข้าง หรือเป็นสีแดง ๆ ซึ่งอาจเป็นผื่นแพ้ที่เกิดจากการแพ้ไข่ขาวหรือนม ก็ได้ ดังนั้นต้องสังเกตให้ดี และหากมีอาการดังกล่าวควรหลีกเลี่ยงไข่ขาว รวมไปถึง ถั่วลิสง และข้าว สาลี เคล็ดลับง่าย ๆ คือ ในเด็กทารกแรกเกิดไปจนถึงอายุประมาณ 8 เดือนควรเลี่ยงอาหารจำพวกไข่ขาว ถั่วลิสง อาหารจากข้าวสาลี เพราะถ้าเกิดอาการแพ้ครั้งแรกปากบวม ปากเจ่อ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนแล้ว หากแพ้ครั้งที่ 2 จะทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้ นอกจากนี้ ในเด็กที่แพ้ไข่ขาวต้องระวังเรื่องวัคซีน เพราะมีวัคซีนบางชนิดที่มีไข่ขาวเป็นส่วนประกอบ จะห้ามฉีดพ่นในคนที่แพ้ไข่ขาวด้วย ท้ายนี้อยากฝากว่า เมื่อใดก็ตามที่เป็นผื่นผิวหนัง แพ้ง่าย มีอาการเหมือนภูมิแพ้ไม่หายสักที ไปหาหมอก็ไม่หาย อาจจะงดไข่ขาว ถั่วลิสง หรือข้าวสาลี บางทีผื่นอาจหายไปเอง ได้ เพราะบางทีอาจแพ้โปรตีนเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว.

การบริหารสะโพกและต้นขา

ใครที่กำลังอยากลดสะโพกและต้นขาให้เล็กลง วันนี้เรามีการบริหารสะโพกและต้นขามาฝาก
... การบริหารสะโพกและต้นขาให้ได้ผลดี ควรจะควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กันด้วย ท่าที่ 1วางฝ่ามือทั้งสองลงบนผนังหรือเก้าอี้ข้างหน้า ยกขาขวาขึ้นและเอียงเท้าไปด้านขวา เตะขาตรง ๆไปด้านหลัง ยืดเข่าให้ตรง ลำตัวตรง จากนั้นเตะขามาข้างหน้า ทำสลับกันทั้งสองข้าง ท่าที่ 2 ยืนแยกขากว้างกว่าไหล่เล็กน้อย กางแขนออกจากนั้นย่อเข่าหลังตรง ให้หัวเข่าเลยปลายเท้าออกไป แต่อย่าย่อเข่าต่ำกว่าสะโพก แล้วยืดตัวขึ้น เกร็งกล้ามเนื้อบั้นท้ายเมื่อยืดตัวขึ้น และเขย่งเท้าขึ้นด้วย ท่าที่ 3 คุกเข่ามือวางบนพื้น ยืดขาออกไปข้างหลัง ยกขาขึ้นตรง ๆ แต่อย่ายกสูงกว่าหลัง หยุดค้างไว้แล้วลดขาลงที่พื้น ทำสลับกัน ท่าที่ 4ยืนตรงกางขาออกเล็กน้อย ย่อตัวลง ตั้งลำตัวให้ตรงเหมือนเดิม จากนั้นยืดตัวขึ้นแล้วกางแขนออกไปด้านข้างให้ขนานกับพื้นเพื่อช่วยพยุงตัว จากนั้นย่อเข่าลงให้หัวเข่าเลยปลายเท้า งอหลังเล็กน้อย แต่อย่าให้สะโพกต่ำกว่าระดับหัวเข่า ทำซ้ำ ๆ กัน 6 ครั้ง แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ถ้าอยากมีสะโพกและต้นขาที่สวย อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปบริหารกันดูได้.

บาดแผลเรื้อรัง..เรื่องเรื้อรังที่ควรแก้ไข

ในสังคมปัจจุบันมีผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้น ดังนั้นจึงพบโรคที่มากับผู้สูงอายุมากขึ้น
รศ.นพ.อภิรักษ์ ช่วงสุวนิช ศัลยแพทย์ตกแต่ง
เช่น ความดันสูง เบาหวาน อัมพาต โรคหลอดเลือดแดงตีบตัน ซึ่งบาดแผลเรื้อรังก็เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเหล่านี้ที่พบได้บ่อย
บาดแผลเรื้อรัง คืออะไร? เรามักหมายถึงบาดแผลที่เกิดขึ้นแล้วหายช้ากว่าปกติ โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 8 อาทิตย์ ลักษณะของบาดแผลอาจจะมีได้หลายแบบ คือ
บาดแผลเรื้อรังชนิดที่ขาดการรับรู้ความรู้สึกที่ผิวหนัง จะมีขอบแผลแข็ง ก้นแผลเป็นเนื้อแดงซีด
บาดแผลเรื้อรังที่เกิดจากความดันในหลอดเลือดดำสูง บาดแผลกลุ่มนี้จะมีลักษณะขอบแผลไม่นูน แข็ง ก้นแผลเป็นสีแดงซีด ผิวหนังรอบแผลมีลักษณะสีดำคล้ำ
บาดแผลเรื้อรังที่เกิดจากการขาดเลือด มักจะพบบริเวณปลายมือ เท้า ผิวหนังที่คลุมแผลจะแห้งดำ ถ้าผิวหนังนี้ไขหลุดลอกมาจะมีลักษณะก้นแผลสีซีด ซึ่งอาจจะเป็นไขมันที่แห้งซีด
บาดแผลเรื้อรังที่มีสาเหตุจากมะเร็ง ลักษณะบาดแผลมักมีขอบนูนขึ้นร่วมกับมีเนื้องอกเกินขอบเขต ของผิวหนังที่อยู่รอบ
บาดแผลเรื้อรังที่เกิดจากการติดเชื้อเรื้อรังอื่นๆ เช่น วัณโรค เชื้อรา ติดเชื้อที่กระดูก การมีสิ่ง แปลกปลอมค้างอยู่
คนไหนที่มีบาดแผลเรื้อรังเป็นมานานแล้วไม่หาย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและพิจารณาหา แนวทางการรักษา แนวทางที่แพทย์จะใช้รักษาบาดแผลชนิดนี้ แบ่งเป็น 2 ทางใหญ่ๆ คือ
1. รักษาสาเหตุ คือ หาสาเหตุของการเกิด เช่น เป็นเบาหวาน ขาดเลือด หรือติดเชื้อ 2. รักษาบาดแผล คือ ลดการติดเชื้อ และสร้างภาวะที่กระตุ้นให้บาดแผลหายดี

การค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลเรื้อรังนี้เป็นเรื่องจำเป็นครับ เพราะถ้ามุ่งแต่จะรักษาบาดแผลอย่างเดียวโดยที่ไม่ตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง ในที่สุดแล้วบาดแผลนั้นอาจจะลุกลามและทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายมากขึ้น จนถึงขั้นอาจเป็นเหตุให้สูญเสียอวัยวะบริเวณนั้นได้ก่อนเวลาอันควร ดังนั้น ไม่ควรละเลย เพิกเฉยบาดแผลเรื้อรังที่เกิดขึ้น ไม่ว่าบริเวณใดในร่างกายเลยนะครับ

แพ้สีทาเล็บ


การแพ้ยาทาเล็บในบางรายอาจพบรอยผื่นแดงในบริเวณรอบเล็บ
ปัจจุบันสาว ๆหลายคนนิยมทำเล็บ ตกแต่งเล็บ ต่อเล็บ หรือเพนท์เล็บ ให้มีสีสันสวยงาม ซึ่งส่วนใหญ่ทำแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็มีบางคนที่ทำเล็บแล้วอาจมีผลข้างเคียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นตามมาได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า เล็บ คือ สารเคอราติน อัดเป็นแผ่นเรียบคลุมปลายนิ้ว มีพื้นที่แต่ละเล็บประมาณ 1-1.5 ตารางเซนติเมตร แผ่นเล็บจะโปร่งแสงจึงมองเห็นเม็ดเลือดแดงเป็นสีชมพูใต้เล็บ ในภาวะวิกฤติแพทย์ใช้สีเล็บประเมินระบบไหลเวียนของโลหิต จึงแนะนำให้ผู้ป่วยล้างยาทาเล็บออกเมื่อรับไว้เป็นผู้ป่วยภายใน ปัจจุบันธุรกิจความงามบนแผ่นเล็บของสหรัฐมีมูลค่าสูงถึงปีละ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ประเทศไทยก็กำลังเข้าสู่กระแสตามผู้นำของโลกเช่นกัน จึงพบศูนย์บริการแต่งเล็บเกิดขึ้นหลายแห่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่เดิมการตกแต่งเล็บจะใช้ยาทาเล็บแต่งสี จากเคยนิยมสีชมพูเลียนแบบสีธรรมชาติเพื่อแสดงว่าสุขภาพสมบูรณ์ ปัจจุบันสียาทาเล็บเปลี่ยนเป็นสีเข้มคล้ายสีเล็บของผู้เจ็บป่วยใกล้ตาย เช่น สีฟ้า สีม่วง การตัดแต่งเล็บก็เปลี่ยนไปตามกระแสนิยม ปลายเล็บรูปรีแหลมก็เปลี่ยนเป็น ตัดตรงเหลี่ยม การตัดหนังรอบเล็บเพื่อให้ผิวเล็บเพิ่มมากขึ้น ในระยะโรคเอดส์เริ่มระบาดหลายคนเลิกทำเล็บเพราะเกรงว่าเครื่องมือไม่สะอาดพอ แต่ความกลัวได้จางหายไป การตกแต่งเล็บจึงกลับมานิยม อีกครั้ง ขั้นตอนการทาเล็บจะต้องทำความสะอาดเล็บด้วยสารอะซีโตน ซึ่งสารนี้เมื่อใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้เล็บขาดความเงางาม เนื้อเล็บจะขุ่นและเปราะบางหลังทำความสะอาดจึงใช้น้ำยาทาเล็บทาทับหลายชั้นเพื่อให้ผิวเล็บเรียบ ยาทาเล็บประกอบด้วยสารหลายชนิดที่สำคัญ คือ ไนโตรเซลลูโลส โทลูอีน ซัลโฟนามายด์ ฟอร์มาลดีไฮด์ เรซิน หรือ ทีเอสเอฟ อาร์ (toluene sulfonamide-formaldehyde resin : TSFR) และพลาสติไซเซอร์ ซึ่งเมื่อแห้งจะเป็นแผ่นฟิล์มใสวาวเรียบเคลือบเล็บ สีที่ผสมในยาทาเล็บจะต้องใช้ชนิดไม่ละลายเข้าในเนื้อเล็บ ในยาทาเล็บมักมีสารฟอร์มาลิน เจืออยู่ เพื่อเพิ่มความแข็งของเล็บ สารเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ได้ สำหรับยาทาเล็บแบบสีมุก จะผสมด้วยผงกวานีน ซึ่งได้จากเกล็ดปลา อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ในบางราย แต่ส่วนใหญ่การแพ้ยาทาเล็บจะไม่มีผื่นบริเวณรอบเล็บเพราะในขณะทาเล็บผู้ทาต้องระมัดระวังไม่ให้ยาทาเล็บโดนผิวหนัง ดังนั้นรอยผื่นแพ้ยาทาเล็บมีลักษณะรอยแดงเป็นทางยาวพบในบริเวณใบหน้า หนังตา แก้ม รอบปาก ด้านข้างของคอ หรือบริเวณหน้าอก เพราะในขณะรอให้ยาทาเล็บแห้งเจ้าของมืออาจขยับทำกิจกรรมต่าง ๆ น้ำยาทาเล็บที่ยังไม่แห้งสนิทจึงสัมผัสผิวหนังในบริเวณดังกล่าว ยาทาเล็บเมื่อแห้งสนิทจะไม่ทำให้เกิดการแพ้ สารที่แพ้คือสารเคลือบเล็บการตกแต่งเล็บกำลังพัฒนาเป็นการสร้างประติมากรรมขนาดย่อม มีการใช้แผ่นเล็บสังเคราะห์มาเชื่อมแปะทับเพื่อเพิ่มพื้นที่และมีการใช้ผงอะคริลิกผสมน้ำยาทาทับบนแผ่นเล็บให้หนาขึ้นพอที่จะแกะสลักลวดลายให้พิสดาร ประดับด้วย ทอง เพชร พลอย การตกแต่งเล็บมักนิยมขูดแผ่นเล็บจริงให้เรียบ จำเป็นต้องใช้กาวพิเศษกลุ่มอะคริลิกโพลิเมอร์เพื่อให้การยึดสิ่งซึ่งจะมาประดับแน่นหนาเพิ่มขึ้น วัสดุซึ่งปิดทับเล็บจะขัดขวางการระเหยของน้ำของแผ่นเล็บ ทำให้แผ่นเล็บนิ่มและน้ำที่ขังในแผ่นเล็บยังละลายกาวให้ดูดซึมเข้าใต้แผ่นเล็บได้ กาวจะทำลายเนื้อเล็บแบบถาวรได้ ซึ่งหมอเจอคนไข้รายหนึ่งมาพบด้วยสาเหตุนี้ จนเล็บหลุดไป อย่างไรก็ตามมีความพยายามที่จะเปลี่ยนชนิดของกาวที่ใช้ให้ปลอดภัยขึ้น แต่ก็มีรายงานการแพ้แบบรุนแรงอยู่เช่นเดิมในคนไข้บางคน ท้ายนี้คงต้องบอกว่า การดูแลเล็บแบบถูกต้องก็คงเพียงแค่ตัดเล็บให้สั้น เพื่อสะดวกในการทำความสะอาด อาจใช้แปรงนุ่ม ๆ ขัดผิวเล็บที่สกปรก ไม่ควรตัดหรือขัดถูผิวหนังรอบเล็บเพราะจะกระตุ้นให้หนังหนาแข็งได้ แผ่นเล็บอาจแสดงถึงสุขภาพทั่วไปซึ่งจะเสื่อมไปตามวัย แผ่นเล็บอาจขุ่น ผิวเล็บอาจขรุขระก็ต้องทำใจรับธรรมชาติ ส่วนการตกแต่งเล็บก็ควรทำแค่พองาม เพราะถ้าเกินงามอาจสูญเสียเล็บแบบถาวรได้.

ฟอกสีฟันดีมั้ย!!??

มันมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า ก่อนทำต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง
มีคนรอบข้าง ถามว่า ฟันมีสีคล้ำ จะไปฟอกสีฟันดีมั้ย แล้ว ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน X-RAY สุขภาพ จึงมาพูดคุยกับ ทันตแพทย์หญิงชนิดา ธรรมสุนทร สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข ทันตแพทย์หญิงชนิดา อธิบายว่า การฟอกสีฟัน เพื่อทำให้ฟันขาวขึ้น มีความปลอดภัย แต่ควรทำภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ ดังนั้นคนที่ต้องการฟอกสีฟัน อันดับแรกเลย ควรไปพบทันตแพทย์ เพื่อวินิจฉัยว่า ฟันสีคล้ำมีสาเหตุจากอะไร เช่น ฟันผุ เป็นรู มีคราบสีหรือ หินปูน หรือฟันตาย ซึ่งทันต แพทย์จะแก้ไขให้ตามสาเหตุ เช่น ฟันผุ แก้ไขปัญหาด้วยการอุดฟัน หากมีคราบสีหรือหินปูน จะแก้ไขด้วยการขัดฟันหรือขูดหินปูน หากเป็นฟันตายก็ควรได้รับการรักษารากฟันก่อนการฟอกสีฟันหรือบูรณะฟันด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อไป หากไม่ได้มาจากสาเหตุข้างต้น และทันตแพทย์พิจารณาว่า สามารถฟอกสีฟันได้ ทันตแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับคนไข้ ซึ่งผลของการฟอกสีฟัน ความขาวของฟันจะไม่คงทนถาวร เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 ปี สีฟันจะค่อย ๆ คล้ำลงเล็กน้อย อาจต้องมาทำซ้ำเป็นระยะ การฟอกสีฟันที่ได้รับการยอมรับว่าได้ผลและมีความปลอดภัยสูง ได้แก่ การฟอกสีฟันที่คนไข้สามารถทำด้วยตัวเองที่บ้าน โดยใช้สารฟอกสีฟันที่ความเข้มข้นต่ำ ๆ ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ วิธีการ คือ ก่อนที่จะทำการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะให้ข้อมูลรอบด้านแก่คนไข้ และตรวจดูให้แน่ชัดว่า ฟันทุกซี่ไม่ผุ ไม่มีอาการเสียวฟันเนื่องจากภาวะเหงือกร่น คนไข้ ได้รับการขูดหินปูนหรือขัดคราบสีที่ปกคลุม ฟันออกเรียบร้อยแล้ว ส่วนฟันที่มีอาการอุด วัสดุอุดจะต้องไม่มีการรั่วซึม จากนั้นทันตแพทย์ก็จะพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟันและนำมาทำถาดฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะบันทึกสีของฟัน ก่อนเริ่มให้การรักษา จะนัดคนไข้มาลองถาดฟอกสีฟัน แนะนำวิธีใส่สารฟอกสีฟัน โดยส่วนใหญ่สารที่ใช้ฟอกสีฟันได้แก่ คาร์ บาไมด์เปอร์ออกไซด์ที่มีความเข้มข้น 10% โดยคนไข้จะใส่ถาดฟอก สีฟันวันละประมาณ 4 ชั่วโมง หรือจะใส่ตลอดทั้งคืนเวลานอนก็ได้ โดยระหว่างใส่ถาดฟอกสีฟัน ห้ามรับประทาน อาหารทุกชนิด สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฟอกสีฟัน คือ อาการเสียวฟัน การ ระคายเคืองเนื้อเยื่ออ่อน เช่น เหงือก ดังนั้นระหว่างการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะนัดมาติดตามผลเป็นระยะ เพื่อดูผลของการฟอกสีฟันและแก้ไขอาการข้างเคียง ภายหลังเสร็จสิ้นการฟอกสีฟัน คนไข้ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภท ชา กาแฟ ไวน์ ซึ่งอาจทำให้มีคราบสีมาติดภายนอกฟันและทำให้ฟันดูคล้ำลงได้ ทั้งนี้ไม่แนะนำให้คนไข้ฟอกสีฟัน โดยซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีขายตามเคาน์เตอร์ในท้องตลาดมาทำเอง โดยไม่ได้ปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ เพราะ 1.ปัญหาฟันสีคล้ำที่คนไข้มี อาจไม่ได้รับการแก้ไขให้ตรงจุด และเสียเงินโดยไม่จำเป็น 2.การฟอกสีฟันเอง มีโอกาสที่สารฟอกสีฟันจะไประคายเคืองเหงือก หรือเนื้อเยื่อภายในช่องปากได้มากกว่าวิธีที่ทำภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ 3.อาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการเสียวฟัน.

10 ท่ากระชับสัดส่วนสวย


หากไม่ยืดเส้น ยืดสาย ขยับแขนขากันบ้าง ระวังสัดส่วนจะไม่กระชับดั่งใจ
สาว ๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ และอาจจะต้องทนเมื่อยล้ากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ลองหันมาออกกำลังกายในท่าง่าย ๆ ทำได้ที่บ้านทั้ง 10 ท่า ต่อไปนี้... 1.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง 2.บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย 3.บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา 4.บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน 5.บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง 6.บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ 7.บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง 8.บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา 9.บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา 10.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ...วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู.

สาว 6 อาชีพกับเส้นเลือดขอด

หนึ่งในปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงกลุ้มใจ แถมยังมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย 3 เท่าเลยทีเดียว!
เส้นเลือดขอด (Varicose Veins) หรือ Spider Vein เป็น เส้นเลือดขอดมักเกิดตามผิวของขาตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านใน พบบ่อยบริเวณน่อง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่ต้องยืนนานๆ เกิดเมื่อถึงวัยชรา เกิดจากกรรมพันธุ์ มีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขา อักเสบอุดตัน หรือบางคนโชคไม่ดีอาจมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรืออุ้งเชิงกรานไปกดหลอดเลือดดำ เป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด ดูเหมือนเส้นเลือดโป่งพองเห็นเป็นสีคล้ำเขียว-แดง และมีความยาวคดเคี้ยวขยุกขยิก เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขา ที่ปกติจะถูกบีบให้ไหลขึ้นสู่หัวใจโดยอาศัยแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณขา ภายในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเล็กๆ อยู่ภายในๆ คอยกั้นเป็นช่วงๆ ไม่ให้เลือดย้อนกลับไปที่เท้า แต่เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดทำงานไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดของขาขยายตัวกว้างขึ้นพลอยดึงให้ลิ้นถ่างออก เมื่อลิ้นไม่อาจปิดได้สนิทเลือดก็ทะลักไหลย้อนลงมาคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำของขาบริเวณใกล้ผิวหนัง โดยอาการของเส้นเลือดขอดมีตั้งแต่เป็นน้อยๆ ไปจนเรียกว่าระยะรุนแรง คือผิวหนังบริเวณที่มีเส้นเลือดขอดแตกเป็นแผลอักเสบเรื้อรังมีน้ำเหลือง รักษาหายยาก และอาจมีเลือดออกรุนแรง และหากจะพิจารณาถึงอาชีพของผู้หญิงที่เสี่ยงเกิดเส้นเลือดขอดก็มักเป็นคุณครู นางพยาบาล แอร์โฮสเตส พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทางและสาวออฟฟิศ ซึ่งด้วยหน้าที่การงานมีรายละเอียดทำให้เข้าข่ายเสี่ยงดังนี้
คุณครู หรือที่เราเปรียบเทียบว่าเป็น เรือจ้าง เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทักษะทางด้านสมอง กายและใจไปพร้อมๆ กัน นั่นคือการพูด-การเขียนอธิบายและถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ต้องยืนสอนหน้าชั้นเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมง ซึ่งอาชีพครูบ้านเราต้องใส่ชุดฟอร์มที่ทางโรงเรียนจัดให้ หรือไม่ก็ต้องแต่งกายเรียบร้อย ใส่ถุงน่องและรองเท้าส้นสูง อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ง่าย
นางพยาบาล เป็นวิชาชีพที่ต้องใช้ทักษะการบริการทางการแพทย์ไปพร้อมๆ กับใจที่รักการบริการ ความรับผิดชอบของนางพยาบาลบ้านเรานั้นมีตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยแพทย์ระหว่างการตรวจรักษา การเดินดูแลพยาบาคนป่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย งานเดินเอกสาร ฯลฯ ดังนั้นอาชีพนี้จึงต้องอาศัยความอดทนและคล่องตัวสูง ทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักตัวตลอดวัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่านางพยาบาลหลายคนใส่ผ้ายืดหรือ support รัดน่องเพื่อป้องกันไว้ก่อน
แอร์โฮสเตส เป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากจากสาวๆ ในปัจจุบัน เพราะแรงจูงใจในเรื่องของค่าตอบแทนและโอกาสท่องเที่ยว แต่อาชีพนางฟ้าก็ต้องแลกกับการยืนและเดินนานๆ เพื่อดูแลผู้โดยสารตลอดชั่วโมงบิน และที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภาวะความดันทางอากาศจากการขึ้น-ลงเครื่องบินเป็นประจำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนรองเท้าส้นเตี้ยขณะบริการเสิร์ฟอาหารแก่ผู้โดยสาร หมั่นเดินไปมาเพื่อเพิ่มระบบหมุนเวียนโลหิต และควรใส่ถุงน่องที่รัดและกระชับใต้เข่า
พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า / พนักงานต้อนรับ การยืนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาชีพนี้ก็ว่าได้ เนื่องจากการยืนหมายถึง ความพร้อมและความเต็มใจของพนักงานที่จะให้บริการ เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า โดยเฉลี่ยแล้วอาจจะต้องยืนติดต่อกันประมาณ 6-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว!
พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง นอกจากจะต้องสูดดมควันจากท่อไอเสีย และอยู่ในสภาพที่มีคนแออัดตลอดเวลา ก็ยังต้องเดินและยืนเก็บค่าโดยสารตลอดสายครั้งละหลายชั่วโมง แถมยังต้องทรงตัวให้ดีเมื่อยามรถจอดหรือเบรกอีกต่างหาก
สาวออฟฟิศ ฟังดูแล้วเป็นอาชีพที่เสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดน้อยที่สุด แต่คุณทราบหรือไม่ว่า การที่นั่งโต๊ะนานๆ ด้วยการนั่งไขว่ห้างนี้เอง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด หรือสาวออฟฟิศบางคนชะล่าใจคิดว่าตนเองไม่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ ก็ใส่ร้องเท้าส้นสูงรับกับกระแสแฟชั่น แต่กลับลืมไปว่าบางครั้งก็ต้องเดินไปมาเพื่อติดต่อเอกสารหรือฝ่ายต่างๆ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดแบบไม่รู้ตัวก็มี
ทั้งนี้หากว่าคุณมีเส้นเลือดขอดก็อย่าเพิ่งตระหนก เพราะหากคุณไม่มีอาการปวดหรือบวมร่วมก็อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและออกกำลังกายอย่างเหมาะสมก็ป้องกันและบรรเทาได้ หรือสำหรับคนที่มีอาการปวดก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นมากจนรักษาไม่ได้ เพราะปัจจุบันเรามีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดและผ่าตัดที่เหมาะต่ออาการของแต่ละคน
วิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด
ถ้าคุณเป็นคนอ้วนควรลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดน้ำหนักลงที่เท้าและขา
หลีกเลี่ยงการยืน หรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว่ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด ในกรณีที่อาชีพการงานบังคับต้องอาศัยการออกกำลังกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อน่องและขา โดยการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง และพอถึงช่วงที่ได้นั่งพัก ให้ถอดรองเท้าส้นสูงออก นั่งลงบนเก้าอี้ หลังตรงและยกขาขึ้นหนึ่งข้างให้สูงระดับสะโพกและหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลง จากนั้นทำสลับอีกข้าง
หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า ซึ่งทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดไหลไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่องรัดห่างใต้เข่าประมาณ 2 นิ้ว
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
ส่วนใหญ่แพทย์แนะนำเพื่อบรรเทาอาการปวด บวมมากกว่าเรื่องของความสวยงาม ซึ่งในกรณีที่เป็นเส้นเลือดขอดไม่มาก สามารถใช้ครีมนวดรักษาหรือบรรเทาได้ แต่กรณีที่มีอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำที่ขอด เพื่อสลายหลอดเลือดที่แข็งตัวและตีบตันให้ไหลเวียนไปสู่หลอดเลือดอื่นบริเวณรอบๆ ได้ แต่ก็ไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาดภายในครั้งเดียวอาจต้องฉีดซ้ำหลายครั้งหากเป็นมาก และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยหลังการรักษาจำเป็นต้องสวมผ้ารัดหรือถุงน่องเพื่อบีบให้ผนังหลอดเลือดกระชับ จนกว่าบริเวณที่ฉีดยาจะบวมน้อยลง และเวลานอนพักต้องใช้หมอนหนุนยกระดับเข่าให้สูงกว่าสะโพก และปลายเท้าสูงกว่าระดับเข่า การรักษาแบบผ่าตัด
เป็นการผ่าตัดในกรณีที่เส้นเลือดขอดเกิดภาวะอุดตันภายในหลอดเลือด และอาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยแพทย์จะให้ยาชาก่อนการผ่าตัดและใช้เครื่องมือเข้าไปผูกเส้นเลือดที่ขอดแล้วดึงหลอดเลือดดำที่ขอดออกเป็นบางส่วน หรือการผ่าดึงหลอดเลือดดำที่ขอดทั้งเส้น โดยหลังการผ่าตัดจะมีอาการเท้าบวม มีเลือดออกหรือเจ็บแผล และจำเป็นต้องใส่ผ้ารัดหรือถุงน่องพยุงต่อประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์
การรักษาเส้นเลือดขอดไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่เกิดเส้นเลือดขอดใหม่ 100% และแพทย์อาจให้การรักษามากกว่า 1 วิธีร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาให้ได้ผลดีมากที่สุด และที่สำคัญบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอดมีอาการปวดหรือบวม คุณควรไปปรึกษาแพทย์ทันที

ไปหาหมอ”... จะเริ่มที่ไหนดี?

คำแนะนำสำหรับผู้สูงอายุหรือแม้แต่คนทั่วไปที่ต้องการปรึกษาแพทย์เรื่องการดูแลสุขภาพให้ดีแต่เนิ่นๆ
คุณผู้อ่านที่ติดตาม HealthToday หรือบทความเกี่ยวกับสุขภาพต่างๆ อย่างต่อเนื่องคงคุ้นเคยกับประโยคเด็ดที่ว่า ถ้ามีปัญหาสุขภาพ ควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำ ฟังดูเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนเวลาที่เราปวดหัวตัวร้อนก็ต้องออกจากบ้านไปหาคุณหมอเพื่อขอยามารับประทาน แต่สำหรับหลายๆ ท่านโดยเฉพาะเมื่อก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุที่อวัยวะต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย การใช้งานแขนขามือเท้าเริ่มไม่คล่องตัวเหมือนอย่างที่เคยเป็น หรือเริ่มมีอาการเวียนงงก๊งหมุนบ่อยครั้งเข้า บางครั้งก็ปวดเมื่อยเนื้อตัว เป็นหลายอาการที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน แถมเรื้อรังไม่หายง่ายๆ คราวนี้การจะไปปรึกษาคุณหมอเริ่มจะมีประเด็นซับซ้อนขึ้น จนเกิดมีคำถามในใจว่า เราควรจะปรึกษาใคร แล้วควรจะเริ่มต้นที่ไหนจึงจะดี? เคยได้ยินว่าบางคนขบคิดปัญหานี้แล้วตอบตัวเองไม่ได้จึงอยู่เฉยๆ ไม่ไปปรึกษาแพทย์คนไหนสักคนเสียเลย จนในที่สุดอาการเจ็บป่วยบานปลายสายเกินไปที่จะรักษาให้หาย แบบนี้ก็มี HealthToday ฉบับนี้เราจึงมี ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย หรือคนที่มีปัญหาสุขภาพแล้วต้องการการตรวจวินิจฉัยเฉพาะทาง หรือต้องการเปลี่ยนแพทย์จากคนที่เคยรักษาเป็นแพทย์ท่านอื่น ควรจะเริ่มต้นที่ไหน อย่างไร ลองพิจารณาว่าวิธีแบบไหนเหมาะกับคุณบ้างค่ะ
สำหรับครอบครัวที่มีลูกหลาน ญาติ หรือเพื่อนเป็นแพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ อาจเริ่มจากการพูดคุยสอบถามท่านเหล่านั้นเพื่อขอให้แนะนำถึงการดูแลรักษาอาการ หรือให้แนะนำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับอาการที่เป็น แล้วขอนัดไปปรึกษาอาการ
หากคุณไม่รู้จักใครมาก่อน ง่ายที่สุดก็คือเริ่มจากคลินิกรักษาโรคทั่วไปหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน หากแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าคุณจำเป็นต้องได้รับการตรวจรักษาที่ละเอียดขึ้นเฉพาะโรคที่นอกเหนือจากความสามารถของแพทย์ในที่นั้น ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำคุณให้ติดต่อแพทย์เฉพาะทางที่เขาเชื่อใจ หรือแม้กระทั่งการสอบถามจากพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ต่างๆ เพื่อให้ช่วยแนะนำแพทย์ที่รู้จักให้ก็เป็นอีกแหล่งข้อมูลที่ดี โดยคุณสามารถขอประวัติการรักษาจากสถานพยาบาลที่เก่าเพื่อไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยในที่ใหม่ได้
แหล่งข้อมูลจากนิตยสารสุขภาพ หนังสือ กระดานข่าวเกี่ยวกับสุขภาพบนเว็บไซต์ เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยแพทย์ ฯลฯ เป็นอีกแหล่งข้อมูลที่รวบรวมรายชื่อแพทย์เฉพาะทาง คลินิก หรือโรงพยาบาลที่สังกัดอยู่ ซึ่งคุณจะเข้าไปค้นหาได้ไม่ยาก
หากคุณไม่ได้มีอาการอะไรผิดปกติ แต่ต้องการตรวจเช็คสุขภาพ อาจเริ่มจากขอรับบริการตรวจสุขภาพประจำปีตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่มักจะจัดไว้เป็นแพ็คเกจเหมาะสำหรับแต่ละเพศ วัย และราคาที่คุณรับได้ ซึ่งจะได้รับการตรวจวัดค่าที่จำเป็นต่างๆ เช่น น้ำหนักตัว ความดันเลือด ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ระดับโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ระดับของกรดยูริค ตรวจการทำงานของหัวใจ รวมทั้งการตรวจหาความผิดปกติในช่องท้องโดยใช้อัลตราซาวนด์ ฯลฯ โดยปกติแพทย์ผู้ตรวจรักษาจะให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพต่างๆ ที่เหมาะสมกับคุณได้
บางโรงพยาบาลมีคลินิกผู้สูงอายุจัดตั้งไว้โดยเฉพาะเพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้สูงอายุ คุณอาจเข้าไปขอรับบริการตรวจสุขภาพ และปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้น แพทย์ผู้ตรวจจะช่วยวินิจฉัยให้ได้
และเมื่อคุณได้พบกับแพทย์ตามคำแนะนำแล้ว คุณอาจต้องประเมินดูว่าแพทย์ท่านนั้นสามารถสื่อสารกับคุณได้ดีแค่ไหน เพราะการพูดคุยสื่อสารกับแพทย์เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย อย่างน้อยๆ เขาต้องรับฟังในสิ่งที่คุณบอกเล่าเกี่ยวกับอาการ และเมื่อเขาอธิบายกลับมาต้องเป็นภาษาที่คุณฟังแล้วเข้าใจ สามารถซักถามได้เมื่อสงสัย
เมื่อแพทย์นัด ก็ควรไปหาตามกำหนดนัด
สำหรับคนที่มีประกันสุขภาพไม่ว่าแบบใดๆ ควรตรวจสอบกับต้นสังกัดที่มีประกันว่าครอบคลุมบริการสุขภาพในแบบใดบ้าง จดเป็นบันทึกช่วยจำไว้ แล้วเลือกไปใช้บริการกับสถานพยาบาลที่เหมาะสมเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
สถานที่ตั้งของคลินิกหรือโรงพยาบาลควรอยู่ในที่ที่สะดวกต่อการเดินทางไปถึง เช่น ใกล้บ้าน หรืออยู่ในตำบล อำเภอที่คุณอาศัยอยู่
คุณควรหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือสอบถามแพทย์ที่คุณไปพบถึงสถานที่ทำงานที่อื่นๆ ที่สามารถติดต่อได้ในเวลาอื่น เช่น คลินิกส่วนตัว หรือโรงพยาบาล และหากแพทย์ท่านนั้นเป็นแพทย์เฉพาะทางที่ทำงานร่วมกับทีมแพทย์เฉพาะทางด้านอื่นๆ ด้านอะไรบ้าง ทำอยู่ที่ไหน ก็เป็นข้อมูลที่ควรทราบไว้
ที่สำคัญถ้าแพทย์ที่คุณไปปรึกษาอยู่ค่อนข้างไกล ก็ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิก สถานบริการสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุดเตรียมไว้ด้วย เช่น จดสถานที่ตั้ง เบอร์โทรศัพท์ไว้ในที่ที่มองเห็นได้โดยสะดวก เผื่อในกรณีจำเป็นฉุกเฉินอย่างน้อยคุณจำเป็นต้องได้รับการปฐมพยาบาลที่รวดเร็วที่สุด แล้วหลังจากนั้นหากจะต้องส่งต่อไปยังแพทย์ประจำ หรือแพทย์เฉพาะทางก็ค่อยว่ากันอีกที
หวังว่าข้อมูลนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ยังงุนงง ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดีกับการไปพบแพทย์ เชื่อเถอะค่ะว่าแพทย์ส่วนใหญ่ใจดีและพร้อมให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพกับคุณเสมอนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

สารอาหารแห่งอนาคต

อาหารฟังก์ชันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนใส่ใจสุขภาพ
เมื่อคุณเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เกต หรือร้านขายของชำ อาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีการโฆษณาว่าใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ให้สารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีประโยชน์ต่อร่างกาย ประกอบกับดีไซน์บรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม พกพาสะดวก ยกตัวอย่างเช่น อุดมไปด้วยวิตามิน กากใยอาหาร ฯลฯ ซึ่งเบื้องหลังของสินค้าอาหารและเครื่องดื่มนานาสรรพคุณ น่าอร่อย น่าลองนี้ก็คือ อาหารฟังก์ชัน (Functional food)
ที่ผู้ผลิตในปัจจุบันพยายามเพิ่มหรือเติมสารอาหารที่สังเคราะห์มาจากวัตถุดิบทางธรรมชาติลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่มธรรมดา ให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ซื้อที่วิ่งตามกระแสสุขภาพ อยากลดความเสี่ยงของการเกิดโรค จึงไม่น่าแปลกว่าธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และก็มีคนคาดการณ์ว่า ธุรกิจสายนี้มีส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 10,000 ล้าน-20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี!
ต้นกำเนิดของเทรนด์อาหารฟังก์ชัน ประเทศแถบเอชียมีอาหารทำนองนี้มานานแล้ว แต่อยู่ในรูปแบบอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรต่างๆ เพื่อป้องกันและรักษาโรคมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น อาหารจีนที่ใช้เครื่องเทศหลากหลายชนิด แต่การเปิดเผยและใช้คำว่าอาหารฟังก์ชันมีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศญี่ปุ่นในยุค 80 เมื่อรัฐบาลเห็นชอบและสนับสนุนให้ทุนเพื่อวิเคราะห์และพัฒนาสารอาหารที่ได้จากสัตว์ พืชหรือแบคทีเรียว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ซึ่งตอนนั้นเรียกกันว่า อาหารเพื่อประโยชน์เฉพาะต่อสุขภาพ หรือ FOSHU และเมื่อ ค.ศ.1988 ประเทศแคนาดาและสวีเดนก็ออกกฎหมายแจ้งให้ผลิตภัณฑ์อาหารใดๆ ที่ใช้สารอาหารแบบนี้ต้องติดฉลากแจ้งบนสินค้า จนถึงปัจจุบันเทรนด์อาหารก็ขยายเข้าสู่การแข่งขันของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างรุนแรง ซึ่งประเด็นหลักของจุดขายใหญ่ก็คือ นำเสนอความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด เน้นผลประโยชน์ด้านสุขภาพ ป้องกันโรคต่างๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชะลอแก่) และสุดท้ายหาซื้อได้สะดวก รับประทานหรือดื่มได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น น้ำผลไม้ นม กาแฟ เครื่องดื่มธัญพืช เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา เป็นต้น
ส่วนประเภทของอาหารฟังก์ชัน เราสามารถแบ่งออกตามลักษณะของแหล่งที่มาได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ นั่นคือ สารอาหารที่มาสัตว์ แบคทีเรียและพืชผักผลไม้ต่างๆ
1. สารอาหารที่ได้จากสัตว์ สารอาหารที่ได้รับการเติมลงในผลิตภัณฑ์มากและได้รับความนิยมก็คือ
โอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 คุณสามารถเห็นสารอาหารเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์อาหารตลาดกลุ่มเด็ก วัยทำงานและผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นกลุ่มกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการ นั่นคือ กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) เป็นกรดไขมันชนิดโอเมก้า-6 (omega-6) และกรดอัลฟ่าไลโนเลนิก (-linolenic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 (omega-3) กรดไขมันทั้ง 2 ชนิดเป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่ม eicosanoid ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 มีผลลดการอักเสบเมื่อเทียบกับกรดไขมันชนิดโอเมก้า-6 จึงอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) และกรดไขมันชนิดนี้ก็ยังช่วยลดการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ด้วย นอกจากนี้ กรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 ที่พบมากในปลาทะเล (Eicosapentaenoic acid, EPA และ Docosahexaenoic acid, DHA) ยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เป็นการลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
แคลเซียม เป็นสารอาหารที่คนส่วนใหญ่รู้จักอย่างดี เพราะช่วยในการสร้างเสริมกระดูกและฟันให้แข็งแรง ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีแคลเซียมมักจะเสริมวิตามินดี และวิตามินเค เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและสร้างเนื้อเยื่อกระดูก ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน
กลุ่มวิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 ไนอาซิน บี 6 บี 12 แพนโธทีนิก และกรดโพลิค (Pholic) มีผลต่อสมาธิ ความคิด ความจำและความฉลาด อาหารในกลุ่มนี้ช่วยป้องกันสมองเสื่อม โดยเฉพาะกรดโพลิค วิตามินบี 6 บี 12 จะช่วยกันทำงานป้องกันการลดระดับของฮอร์โมนซีสเตอีนในเลือด ทำให้ความจำ การเรียนรู้ ไม่ล่าถอยลง มีในอาหารประเภทนมและผลิตภัณฑ์นม และอาหารทะเล
กรดไลโนเลอิค และกรดไลโนเลนิค เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายได้จากอาหารเท่านั้น ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ จึงต้องหามาจากอาหารซึ่งมีจำนวนน้อย นอกจากจะพบในพืชแล้วยังมีในปลาทะเล มีประโยชน์ในการควบคุมระบบความดันโลหิต ควบคมระดับไขมันในเลือด ระบบฮอร์โมนต่าง ๆ ลดการอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือติดเชื้อ ทางด้านสุขภาพจึงนำมาใช้ควบคุมด้านสุขภาพของระบบเส้นเลือด แล้วยังใช้ในสุขภาพผิวอีกด้วย ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้จะทำให้ผิวสดชื่น ไม่แห้งหยาบ คัน หรือลดการเป็นจุดด่างดำ โดยเฉพาะสตรีที่มีอายุมากขึ้น
กรดอะมิโนและโปรตีนเวย์ มีผลในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โปรตีนจากนมในส่วนที่เรียกว่า โปรตีนเวย์ (whey protein) ซึ่งประกอบไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็น ช่วยในการสร้างกลูตาไธโอน (glutathione) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติในร่างกาย ในน้ำนมแม่มีโปรตีนเวย์อยู่ในปริมาณสูง จึงอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทารกที่กินนมแม่มักไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย กรดอะมิโนอาร์จินีนและกลูตามีนมีบทบาทต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกลูตามีนเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน การให้กลูตามีนเสริมในผู้ป่วยหนักที่ต้องให้อาหารทางหลอดเลือดดำเป็นเวลานาน พบว่าช่วยให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในทางเดินอาหารดีขึ้นและลดการติดเชื้อได้
2. แบคทีเรีย เป็นแบคทีเรียสุขภาพที่ดีพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และขับถ่ายของมนุษย์
พรีไบโอติก (Prebiotics) คือ ส่วนของอาหารที่ไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร ซึ่งมีผลทำให้กระตุ้นการเจริญของแบคทีเรียบางชนิดในลำไส้ใหญ่หรือโพรไบโอติกนั่นเอง การหมักพรีไบโอติกจะได้กรดไขมันชนิดสายสั้น เช่น อินูลิน ฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ กาแลกโตโอลิโกแซกคาไรด์ ช่วยปรับสมดุลการขับถ่ายและด้วยคุณสมบัติเหมือนใยอาหารพรีไบโอติกก็จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูก เนื่องจากผลของการเพิ่มน้ำหนักของอุจจาระและผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้จึงช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น และยังช่วยดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดได้ เช่น แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม และสังกะสี
โพรไบโอติก (Probiotics) กลุ่มของจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเข้าไปอยู่ในระบบของร่างกายมนุษย์และสัตว์ แล้วก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ โดยจุลินทรีย์สุขภาพนั้นทำหน้าที่ช่วยปรับสมดุลของสภาพแวดล้อมในระบบลำไส้เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยปรับสมดุลของสภาพแวดล้อมในระบบลำไส้ ช่วยป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ชนิดก่อโรคมาเกาะติดผนังลำไส้ และหลั่งสารพิษที่มีผลทำให้เยื่อบุลำไส้อักเสบได้ เพิ่มความแข็งแรงของผนังลำไส้ ช่วยลดความรุนแรงของอาการท้องเสีย โดยลดระยะเวลาของโรคและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบรรเทาอาการไม่ทนต่อแลคโตส (Lactose intolerance) เนื่องจากแลคโตสไม่สามารถถูกย่อย ดังนั้นหลายคนที่ดื่มนมแล้วจึงเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเดิน ปวดท้อง โพรไบโอติกในอาหารประเภทนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตสามารถช่วยบรรเทาอาการนี้ได้ เนื่องจากโพรไบโอติกได้ช่วยย่อยแลคโตสไปแล้วในระหว่างการหมัก จึงทำให้มีแลคโตสเหลือน้อยกว่าหรือไม่มีเลย
แลคโตบาซิลลัส และเสต็ปโตคอกคัส เป็นแบคทีเรียยอดนิยมในอาหารประเภทนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตต่าง ๆ บางสายพันธุ์อาจช่วยให้ระบบลำไส้แข็งแรงขึ้น และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด อีกทั้งยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในคนบางกลุ่ม แต่จะทำงานได้ดียิ่งขึ้นถ้าได้รับแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินบี 2 ฟอสฟอรัส และโพรไบโอติกร่วมด้วย
3. จากพืช ผักและผลไม้ ได้แก่ กากใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่คนเราต้องการในแต่ละวัน แม้จะต้องการปริมาณไม่มากแต่ก็ขาดไม่ได้ และกลุ่มวิตามินป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี หรือศาสตร์ชะลอแก่ พวกแอนติออกซิแดนซ์ ก็กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนี้ ยกตัวอย่างเช่น
คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของผิวหนัง ทำหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายในและเป็นตัวเชื่อมอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น นุ่มนวล ยืดหยุ่นได้ดี ไม่เหี่ยวย่น จึงได้รับความสนใจในการใช้เสริมอาหารเพื่อเสริมสุขภาพผิว การได้รับเสริมในอาหารอาจจะช่วยหรือกระตุ้นกระบวนการสังเคราะห์ คอลลาเจนในร่างกายจึงเป็นกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิวที่ต้องทำการวิจัยเพิ่มเติม
ฟลาโวนอยด์ เป็นสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและอาจช่วยป้องกันมะเร็ง ลดการอักเสบของข้อ ชะลอภาวะหลงลืมง่าย
โคเอนไซม์คิว 10 เป็นสารที่ทำหน้าที่กับสารตัวอื่นๆ ในการรักษาอาการผิดปกติมานานแล้วในวงการแพทย์ มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ ส่งเสริมภูมิต้านทาน ทำให้สดชื่นกระฉับกระเฉง ป้องกันโรคสมองเสื่อมและลดความดัน แต่ช่วงหลังได้รับความสนใจมากจากในเรื่องยับยั้งการสร้างสารอนุมูลอิสระ เราสามารถรับโคเอนไซม์คิว 10 ได้จากการรับประทานตับ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เป็นต้น
ไลโคปีน สารอาหารที่พบมากในผักหรือผลไม้ที่มีสีสันแดง-ส้ม หรือผลไม้จำพวกที่ขึ้นต้นด้วย มะ ทั้งหลาย เช่น มะเขือเทศ มะม่วง มะปราง มะละกอ ป้องกันเซลล์ระบบภูมิต้านทานจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ป้องกันภาวะจอตาเสื่อม โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น
คาเตชิน ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอล และช่วยลดการแข็งตัวของเลือด ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 200 มก. เรามักพบสารนี้ในเครื่องดื่มประเภทชาหรือกาแฟ ข้อควรระวังคือ สตรีที่ให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาเขียว
เพกติน มาจากใยอาหารชนิดละลายน้ำ ช่วยป้องกันหลอดเลือดจากการทำลายของโคเลสเตอรอลชนิดร้าย มีประโยชน์ต่อการรักษาโรคอุจจาระร่วงและโรคเบาหวาน
ลูเตอินและซีแซนทิน เป็นสารอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน ได้มาจากผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง ส้มและเขียวสด ช่วยบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น
กรดไฮยาลูโรนิค เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้ในชั้นหนังแท้ มีคุณสมบัติสำคัญคือ สร้างความยืดหยุ่นและชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง เพราะสามารถดูดและอุ้มน้ำได้ถึง 1,000 เท่า สารชนิดนี้เป็นส่วนประกอบสุดฮิตที่เติมลงในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง แต่ปัจจุบันได้แผ่ขยายความนิยมมาในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบ้างเพื่อสร้างจุดขาย แต่เนื่องจากปริมาณที่เติมมีสัดส่วนน้อย ดังนั้นจึงเป็นการรับประทานตามแฟชั่นมากกว่าหวังผล 100%
ดังนั้นไม่ว่าอาหารหรือเครื่องดื่มจะผ่านกระบวนการคิดค้น วิจัยหรือพัฒนาให้อุดมไปด้วยสารอาหารอย่างครบครันแค่ไหน คุณก็ยังต้องรับประทานอาหารที่ปรุงสดๆ ใหม่ๆ ทั่วไปเป็นหลัก เพราะร่างกายคนเราต้องการสารอาหารที่หลากหลายจากอาหารหลากชนิด การหวังพึ่งหรือยึดติดกับอาหารแห่งอนาคตมากไปไม่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอย่างยั่งยืน พูดง่ายๆ คือ ต้องเดินสายกลาง ถ้าคุณคิดว่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่เป็นประจำอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องดิ้นรนหามารับประทานมากนัก แต่ถ้าคิดว่าชีวิตประจำวันยุ่งจนไม่มีเวลารับประทานอาหารให้ครบได้ ก็รับประทานอาหารหลักคู่กับอาหารที่เติมสารอาหารพิเศษร่วมด้วยก็ได้ แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมแก่ความต้องการและถูกกับโรคของตัวเองนะคะ
เราชวนคุณให้เป็นคนหูหนักและจู้จี้! กรณีผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชันที่โฆษณาอ้างเกินจริง
เทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยอำนวยความสะดวกให้ทางเลือกแก่ผู้ซื้อให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลาย และครบถ้วนจากการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มนั้นๆ แต่การเติมสารอาหารทุกอย่างก็มีข้อควรระวังเช่นกัน โดยเฉพาะสารอาหารที่เติมลงไปนั้นต้องปลอดภัยต่อสุขภาพจริง ได้รับมาตรฐานและตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว และที่สำคัญคุณยังจำเป็นต้องศึกษาและใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อก่อนนำมารับประทานเสมอ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการอ้างอิงหรือโฆษณาที่เกินจริง ซึ่งล่าสุดมีตัวอย่างให้เห็นทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่า กาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่งได้ลักลอบใส่สารซิลเดนาฟิล (Sildenafil) ยาที่ใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผลข้างเคียงคือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน หากผู้ที่เป็นโรคหัวใจดื่มก็อาจอันตรายถึงเสียชีวิตได้ เช่นเดียวกับการโฆษณาว่า อาหารหรือเครื่องดื่มนั้นมีสรรพคุณในเชิงป้องกันรักษาโรค เช่น ลดความอ้วน ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เป็นต้น