วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิหารอาบูซิมเบล

อาบู ซิมเบล (อังกฤษ: Abu Simbel; อาหรับ: أبو سنبل‎ หรือ أبو سمبل‎) เป็นมหาวิหารของอียิปต์โบราณอันประกอบขึ้นจากหินขนาดใหญ่สองก้อน มีลักษณะเป็นรูปปั้นองค์ฟาโรห์ทั้งสี่ ส่วนองค์ที่สองถล่มลงเนื่องจากแผ่นดินไหว ตั้งอยู่ทางใต้ของอียิปต์ บนริมฝั่งตะวันตกของทะเลสาบนัสซอร์ ระยะทางประมาณ 290 กิโลเมตรจากอัสวาน และเป็นโบราณสถานหนึ่งในมรดกโลกขององค์การยูเนสโก นอกจากนี้ยังรู้จักกันในนาม อนุสรณ์สถานแห่งนูเบียน แต่เดิมมหาวิหารถูกก่อสร้างโดยการเจาะแกะสลักเข้าไปในภูเขาหินในช่วงรัชสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ในช่วงศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสตกาล และยังเป็นอนุสรณ์สถานแห่งสุดท้ายของพระองค์และพระมเหสีของพระองค์นั้นคือพระนางเนเฟอร์ทารี ซึ่งอาบู ซิมเบล ยังมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองกับชัยชนะของอียิปต์ที่มีต่อนูเบียที่สมรภูมิแห่งคาเดส อีกทั้งเพื่อเป็นการข่มขู่นูเบียไม่ให้มารุกรานอียิปต์ซึ่งเป็นอาณาจักรใกล้เคียง อย่างไรก็ตามมหาวิหารทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายโดยคณะวิศวกรจากสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งใช้เวลาตลอดทั้งทศวรรษที่ 1960 เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนอัสวาน อันจะส่งผลให้มหาวิหารและโบราณสถานที่รายรอบอยู่ต้องจมอยู่ก้นทะเลสาบนัสซอร์ ปัจจุบันมหาวิหารเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากและโด่งดังแห่งหนึ่งของอียิปต์ ซึ่งครั้งหนึ่งนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันและญี่ปุ่นเคยถูกลอบสังหารขณะเดินทางไปยังสถานที่แห่งนี้

ประวัติศาสตร์
การก่อสร้างของมหาวิหารทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นประมาณปี 1224 ก่อนคริศตกาล และเสร็จสมบูรณ์ในอีก 20 ปีต่อมา ในปี 1244 ก่อนคริศตกาล รู้จักกันในนาม "วิหารแห่งรามเสสอันเป็นที่รักของเทพเจ้าอามุน ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในหกวิหารหินแกะสลักที่ก่อสร้างขึ้นในนูเบียในช่วงระยะเวลาการครองราชย์อันยาวนานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ซึ่งอียิปต์โบราณเจตนาให้เป็นที่ประทับใจต่ออาณาจักรเพื่อนบ้านทางใต้ อีกทั้งยังเจตนาเพื่อเป็นการเผยแพร่ศาสนาของชาวอียิปต์เข้าไปในแคว้นทางใต้ นักประวัติศาสตร์กล่าวว่าสถาปัตยกรรมของอาบู ซิมเบลยังบ่งบอกถึงความภูมิใจและตัวตนของฟาโรห์รามเสสที่ 2 อยู่เล็กน้อย
การค้นพบ
ด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปอย่างยาวนาน มหาวิหารถูกทิ้งร้างและตกอยู่ในสภาพที่ทรุดโทม จนกระทั่งมหาวิหารถูกกลืนกินโดยทรายจากทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งรูปแกะสลักขนาดยักษ์ขององค์ฟาโรห์ทั้งสี่ถูกกลืนกินโดยทรายจนถึงหัวเข่าในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล จนกลายเป็นมหาวิหารที่ถูกหลงลืมกระทั่งปี ค.ศ. 1813 เมื่อนักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมตะวันออกชาวสวิสเซอร์แลนด์ โจฮัน ลุดวิก เบิร์คฮารดต์ หรือรู้จักกันในนาม เจแอล เบิร์คฮารดต์ ค้นพบส่วนบนของฟรีส (ลวดลายสลักใต้ชายคาของสิ่งก่อสร้าง) โจฮันได้เล่าถึงการค้นพบของเขาให้แกนักสำรวจชาวอิตาลีที่ชื่อ จิโอวานนี่ บาติสต้า เบลโซนี่ ผู้ที่เดินทางไปยังจุดค้นพบแต่ก็ไม่สามารถขุดไปยังทางเข้าของมหาวิหารได้ เบลโซนี่ได้กลับมาอีกครั้งในปี ค.ศ. 1817 ครั้งนี้เขาประสบความสำเร็จจากความพยายามที่จะเข้าไปยังมหาวิหารของเขา เขากลับออกมาพร้อมกับข้าวของอันล้ำค่าหรือข้าวของที่สามารถแบกออกมาได้ติดตัวออกมาด้วย ส่วนชื่อ "อาบู ซิมเบล" มาจากชื่อของเด็กท้องถิ่นที่เคยนำชมมหาวิหารในช่วงที่มีการสำรวจอีกครั้ง ซึ่งเขาเป็นผู้ค้นพบส่วนที่ถูกฝังของมหาวิหารที่เหลือ จากการที่ทรายได้เคลื่อนตัวเผยให้เห็นส่วนที่เหลือ กระทั่งท้ายที่สุดได้มีการเรียกชื่อตามชื่อของเขา



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น